PRMปักธงเข้าสู่โหมดเติบโตเดินหน้าขยายลงทุน

Categories : Update News, Stock Market

Public : 09/20/2022

PRM มั่นใจ H2/65 เติบโตหลังเริ่มรับรู้รายได้จากเรือใหม่-อัตราการใช้เรือฟื้น ประกาศพร้อมลงทุนต่อเนื่อง ขยายพอร์ตธุรกิจให้สมดุล สร้างการเติบโต   ฐานะการเงินแข็งแกร่ง

 นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยว่า  ธุรกิจของ  PRM จะเข้าสู่โหมด การเติบโต ( Growth Mode )  ภายหลังได้มีการปรับโครงการการทำธุรกิจต่อเนื่องและเข้าลงทุน ซื้อกิจการ บริษัท ทรูธ มาริไทม์ (จำกัด) หรือ TM (เดิมคือ บริษัทไทยออยล์มารีน จำกัด)  ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มไทยออยล์ เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ PRM ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว จากการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ ที่ให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ด้วยเรือ VLCC ขนาดบรรทุก 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว 10 ปี อันจะช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่บริษัทฯ 

ขณะเดียวกัน การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ จากการรับเรือขนส่งปิโตรเคมีจำนวน ลำ ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นและเรือขนส่งเพื่อการสำรวจและการผลิตน้ำมันกลางทะเล (เรือ Crew Boat) อีก 13 ลำ เพื่อรองรับกิจกรรมทางทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการปรับพอร์ตกองเรือที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเอาชนะความ      ท้าทายและมีความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศได้ดียิ่งขึ้น "       “การเข้าซื้อ TM ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่จะสร้างประโยชน์แก่การดำเนินธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง Post-Covid และผลักดันบริษัทฯ ให้เข้าสู่ Growth Mode รอบใหม่ ด้วยผลการดำเนินที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายบวร กล่าว 

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากเรือใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น คือ เรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ (VLCC) ลำที่ 2 เริ่มให้บริการเดือน มิ.ย. 65 เรือ AWB ลำที่ 2 เริ่มให้บริการ 16 มิ.ย. เรือ VLCC ลำที่ 3 เริ่มให้บริการวันที่ 9 ก.ย. 65 อีกทั้งกำลังการใช้เรือผลิตน้ำมันกลางทะเล (Crew Boat) จำนวน 13 ลำ เป็น 100% จากเดิมอยู่ที่ 83% นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/65 บริษัทเตรียมบันทึกกำไรสุทธิเข้ามาเพิ่มเติมจากการขาย VLCC จำนวน 1 ลำ มูลค่าหลักพันล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/65 บริษัทมีกองเรือทั้งหมด 59 ลำ

ด้านเป้าหมายรายได้ในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าเติบโต 10% จากปีก่อน เนื่องแต่ละกลุ่มเรือขยายตัวเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเรือขนส่งและจัดเก็บปิโตรเลียมลอยน้ำ (FSU) ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว พร้อมคาดว่าหวังจะหนุนอัตรากำไรงวดปี 65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ PRM กล่าวว่า  บริษัทวางแผนการลงทุนครั้งใหม่โดยขยายพอร์ตกองเรือจำนวน 3 ลำ ภายใต้งบลงทุน 1,896 ล้านบาท ประกอบด้วย เรือขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศจำนวน 1 ลำ,เรือขนส่งปิโตรเคมี จำนวน 1 ลำ และเรือ FSU เพิ่มอีก 1 ลำ เนื่องจากบริษัทยังเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งในประเทศเพื่อรองรับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง ขณะที่การลงทุนเพิ่มเติมในเรือขนส่งปิโตรเคมี มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นทั้งในและต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปยังการผลิตปิโตรเคมีมากขึ้น และการขยายกองเรือ FSU เพื่อรองรับอุปสงค์ในการกักเก็บและผสมน้ำมันที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีกิจกรรมมากขึ้น โดยการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีหลังจากที่สามารถจัดหาเรือแล้วเสร็จ เนื่องจากเรือทั้ง 3 ลำมีลูกค้าที่รอใช้บริการอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย

"PRM ได้เข้าสู่ Growth Mode ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นต้นไป เป็นผลจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการใช้เรือที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการเตรียมส่งมอบเรือ VLCC ลำที่ 3 เพื่อให้บริการแก่บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ในช่วงไตรมาส 3 นี้ และเรือที่ลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 ลำที่เตรียมจะเข้ามาให้บริการเพิ่มเติมอีกด้วย" นายชายน้อย กล่าว