`เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล (SAF)` ขาย IPO 80 ล้านหุ้น-เทรด mai ธ.ค.นี้

Categories : Stock Market

Public : 11/14/2022

  'บมจ.เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล (SAF)' ขายไอพีโอ 80 ล้านหุ้น เข้าเทรด mai ธ.ค.นี้ ใช้ระดมทุนโครงการลงทุนในคลังสินค้าและโรงงานแห่งใหม่ - ลงทุนเตาชุบแบบไนไตรดิ้ง -เงินทุนหมุนเวียน วางเป้าหมายปี 66-67 ยอดขายเติบโตเฉลี่ยประมาณ 23-28% ต่อปี

นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF เปิดเผยในงานโรดโชว์ ว่า SAF เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกิน 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เข้าระดมทุนใน mai คาดซื้อขายในเดือนธ.ค.นี้ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม

  โดยแผนการระดมทุนครั้งนี้ จะสร้างโอกาสเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืน ยกระดับศักยภาพทางธุรกิจในทุกๆ ด้าน ทั้งฐานะทางการเงิน ความสามารถในการแข่งขัน และโอกาสการเติบโตในอนาคต ซึ่งเชื่อมั่นว่า SAF จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทเหล็กกล้าเกรดพิเศษชั้นนำระดับโลกจากประเทศเยอรมนี อาทิ DÖRRENBERG EDELSTAHL GmbH และ WILHELM OBERSTE-BEULMANN GmbH จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ มีการต่อยอดรายได้บริการชุบเหล็กกล้าให้ครบวงจร โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานกว่า 30 ปี

  ด้านดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAF เปิดเผยว่า การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อแผนลงทุนโครงการคลังสินค้าและโรงงานแห่งใหม่ เพิ่มปริมาณการจัดเก็บวัตถุดิบจาก 2,000 ตัน เป็น 4,000 ตัน คาดจะเริ่มก่อสร้างโครงการภายในปี 66 และมีแผนเปิดใช้งานภายในไตรมาส 2/66 เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและรองรับโอกาสการเพิ่มยอดขายในอนาคต ซึ่งการบริหารจัดการสินค้าคงคลังมีความสำคัญมาก เนื่องด้วยต้องมีการเก็บวัตถุดิบเหล็กกล้าเกรดพิเศษหลากหลายชนิด รวมถึงต้องมีสินค้าในคงคลังในปริมาณมากพอ

  นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนลงทุนระบบเตาชุบแบบไนไตรดิ้ง เพื่อให้บริการชุบได้อย่างครบวงจร ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าที่ซื้อเหล็กกล้าเกรดพิเศษมีความต้องการใช้บริการชุบแบบไนไตรดิ้งเป็นอย่างมาก เพราะทำให้เหล็กมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ทั้งความแข็งที่ผิวเหล็ก ความต้านทานการสึกหรอ และการกัดกร่อน เป็นต้น

  สำหรับเป้าหมายในอีก 2 ปีข้างหน้า (ปี 66 - 67) บริษัทฯ ต้องการจะมียอดขายเติบโตเฉลี่ยประมาณ 23-28% ต่อปี ภายใต้แผนกลยุทธ์

  1. เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษ ในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญที่เชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหารที่มีโอกาสเติบโตสูง

  2. พัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยต่อยอดวัตถุดิบเหล็กกล้าเกรดพิเศษมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป และขยายความร่วมมือกับพันธมิตรผ่านการจัดตั้งเครือข่ายหรือคลัสเตอร์สำหรับผู้ผลิตแม่พิมพ์และชิ้นส่วนโลหะต่างๆ

  3.พิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตแปรรูปเหล็กกล้าเกรดพิเศษ ร่วมกับการให้บริการอบชุบสุญญากาศครบวงจร เพื่อให้ได้คุณภาพผลิตภัณฑ์สูงสุด

  4.ขยายพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบ โดยลงทุนคลังสินค้าแห่งใหม่ รองรับความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้นและขยายฐานลูกค้าใหม่

  5. มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันแก่ภาคอุตสาหกรรมไทย

  6.สร้างการรับรู้แบรนด์ โดยสร้างการรับรู้และสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SAF ในระยะยาว

 ภญ.ลีนา อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SAF กล่าวว่า ปัจจุบันฐานลูกค้าหลักของ SAF มาจาก 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ประกอบด้วย ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อะไหล่ ล้อรถ อุปกรณ์เสริมยานยนต์

  2.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ประกอบด้วย ผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากอลูมิเนียม ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ และผู้ผลิตเหล็กโครงสร้าง

  3.กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ผู้ผลิตน้ำตาลทราย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหาร และเครื่องใช้ในครัวเรือน อีกทั้งยังมีรายได้จากกลุ่มอื่นๆ อาทิ ลูกค้ารับจ้างทำงานตามแบบ ลูกค้าผู้รับเหมาย่อย และลูกค้าซื้อมาขายไป โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีการติดต่อซื้อขายต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีประวัติชำระค่าสินค้าตรงเวลา และมีสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง

  ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 65 รายได้ส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษสำหรับแม่พิมพ์งานอุตสาหกรรม สัดส่วน 72.66% ของรายได้รวม รายได้จากผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษสำหรับเครื่องจักรกล สัดส่วน 17.27% ของรายได้รวม บริการชุบแข็งด้วยระบบสุญญากาศ คิดเป็นสัดส่วน 4.30% ของรายได้รวม และส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการขายอื่นๆ เช่น ใบเลื่อยสายพาน เครื่องเลื่อยสายพาน แม่พิมพ์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

  โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 114.72 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.04 ล้านบาท จากการปรับราคาขายผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นตามราคาเหล็กกล้าในตลาดโลก ประกอบกับความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ