ทิศทางลงทุน “หุ้น-ทองคำ”หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรง

Categories : Uncategorized, Update News, Stock Market

Public : 08/29/2022
BCAP เชื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้แตะ 1,650 จุด แนะลงทุนหุ้นเด่น 3 กลุ่ม เช่น พลังงาน-กลุ่มเดินเรือ-กลุ่มบริหารหนี้   ขณะที่ YLG ประเมินเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบราคาทองระยะสั้น แนะลงทุน 5-10% หวังกระจายความเสี่ยง มองราคาทองยังลงได้อีก รอเข้าซื้อ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ช่วงวันหยุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวน์โจนส์ปรับตัวลงกว่า 1,000 จุดหลัง ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรงต่อเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ แม้ว่าในช่วงตลอดหนึ่งเดินที่ผ่านมาเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวลดลงบ้างแล้วก็ตาม จึงทำให้คาดกันว่าการประชุมรอบที่จะถึง เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75%เป็นการขึ้นในอัตรานี้ติดต่อกับ 3ครั้ง จากก่อหน้า0.25%และ 0.50%(2ครั้ง) ซึ่งผลของดาวน์โจนส์ที่ดิ่งแรงและการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยจากเฟด จะส่งผลต่อการลงทุนอย่างไร นายธวัชชัย วงศ์รัตนศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายจัดสรรสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด(BCAP) เปิดเผยในงาน โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) ปี 2566 Next chapter for wealth เปิดโลกสร้างความมั่นคงสู่ความมั่นคง โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่าง สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในหัวข้อ “จัด Asset Allocation รับมือความผันผวน” ว่า กรณีที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมนโยบายประจำปี และ ย้ำเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อลดเงินเฟ้อนั้น คาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะไม่ลงแรง และ แรงเหวี่ยงจะน้อยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะช่วงวันหยุดนักลงทุนได้ย่อยข่าวสารที่เกิดขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยแม้ตอนนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดจะติดลบ แต่คาดว่าจะกลับมาเป็นบวกหลังนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา ซึ่งคาดว่าหากได้ระดับ 7 ล้านคน ก็จะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่มองว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากระดับปัจจุบัน โดยประเมินไว้ที่ 35.60-35.80 บาท/ดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มการลงทุน ในช่วง 6-12เดือนข้างหน้า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอลง โดยอยู่ในระดับใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาว เนื่องจากแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเงินเฟ้อและความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยจะกดดันการลงทุนและเศรษฐกิจโลกมากขึ้น และเฉพาะอย่างยิ่งการถอถอยในเศรษฐกิจของยุโรปน่าจะรุงแรง กว่าสหรัฐและจะเห็นว่าขณะนี้ยุโรปยังไม่ได้มีมาตรการหรือการรับมือความถดถอยรวมถึงเงินเฟ้อที่เริ่มพุ่งแรง ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐทรงตัวในระดับสูงก่อนค่อย ๆ ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องถึงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม ระดับอัตราเงินเฟ้อของปีนี้จะยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารสหรัฐฯ ที่ 2.0% โดยประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในทิศทางขาขึ้น จากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (3.50-3.75%) และ การถอนสภาพคล่องออกจากระบบ (QT) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตลอดจนอุปทานของพันธบัตรที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล นายธวัชชัย กล่าวว่า การลงทุนของตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่า การเติบโตของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังอยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้ง ในเชิงมูลค่าหุ้นจะมีความน่าสนใจมากกว่าบอนด์ แต่ก็มีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนของบจ.ทําให้ความน่าสนใจของหุ้นลดลง " ตลาดหุ้นไทยดัชนีปลายปีนี้จะอยู่ในระดับ 1,650 จุด โดย EPS อยู่ที่ 95 บาท/หุ้น และ PE ที่ 17.5 เท่า ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะหลุดแนวรับ 1,600 จุด โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ 3 กลุ่มที่ยังลงทุนได้ ประกอบด้วย กลุ่มพลังงาน เช่น ถ่านหิน กลุ่มเดินเรือ โดยได้รับอานิสงส์จากความขัดแย้งรัสเซีย และ ยูเครน ส่งผลให้ความต้องการขนส่งสินค้ายังอยู่ในระดับสูง และ กลุ่มบริหารหนี้ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากช่วงโควิดที่ทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นในระบบ และ สถาบันการเงินจะมีการตัดขายหนี้เสียออกไป " สำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน นั้น เดิมให้ถือหุ้น 60% และ บอนด์ 40% แต่ตอนนี้เราปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยน้อยกว่าตลาด หรือ อันเดอร์เวท ประมาณ 7-8% ซึ่งจะเหลือหุ้นประมาณ 52-53% และเพิ่มน้ำหนักลงทุน Fix income จากเดิมให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดขยับขึ้นมาเท่าตลาด และ ที่เหลือเราแนะให้ถือเงินสดเพื่อรอจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม YLG มองเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบราคาทองระยะสั้น แนะลงทุนทองในพอร์ต 5-10%ชี้ถ้าไม่หลุดแนวรับที่ 1,681 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีโอกาสปรับตัวขึ้นไป เผยหากหลุดแนวรับ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาจะเป็นทิศทางขาลงต่อ นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยในงาน โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง(พศส.) ปี 2566 Next chapter for wealth เปิดโลกสร้างความมั่นคงสู่ความมั่นคง โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่าง สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้หัวข้อ Money Club สารพันปัญหามีทางออก “ทองคำ Safe Haven  - หลุมหลบภัยทุกวิกฤติจริงหรือ” ว่า กรณีที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมนโยบายประจำปี และ ย้ำเฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อลดเงินเฟ้อนั้น นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อราคาทองให้ปรับลง โดยราคาทองคำได้ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่เฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยความขัดแย้ง ระหว่างสหรัฐและจีนกดดันราคาทองคำ ดังนั้นสถานการณ์ช่วงที่ดอกเบี้ยขาขึ้นจึงไม่ใช่ช่วงที่ดีสำหรับทองคำ อย่างไรก็ตาม วายแอลจี มองกรอบราคาเคลื่อนไหวปีนี้ยังเป็นขาลง แต่ถ้าไม่หลุดแนวรับที่ 1,681 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไป  แต่หากหลุดแนวรับ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาจะเป็นทิศทางขาลงต่อ โดยราคาทองในประเทศกลับเคลื่อนไหวสวนทางกับราคาทองคำโลก เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่าเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทอง ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำแท่งปรับเพิ่มจากต้นปี 5% “ทองคำเป็นที่กระจายความเสี่ยง บางครั้งก็ให้ผลตอบแทนดี บางครั้งก็ไม่ดีตามสภาวะเศรษฐกิจ ปีนี้ทองคำปรับขึ้นช่วงไตรมาส 1 จากเหตุรัสเซีย ยูเครนถึง 2,069 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่พอไตรมาส 2 เฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ทองก็ลงมาตลอด” นางสาวฐิภา กล่าว สำหรับราคาในประเทศก็เพิ่มขึ้น จากต้นปีทองคำแท่งอยู่ที่ 28,600 บาท แต่ปัจจุบันราคาอยู่ 29,750 บาท จึงอยากให้เรียกว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยง ในพอร์ตควรจะมีทองคำ 5-10% ทางด้านแนะนำการลงทุนลงทุนระยะสั้น ประเมินแนวรับ 1,721  ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นบริเวณแนวต้าน 1,807 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองคำในประเทศคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 29,350-31,300 บาทต่อบาท