ธนาคารแห่งประเทศไทยผธปท)ออกคำสั่งห้ามจ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาลปี2563และซื้อหุ้นคืน
ซึ่งข่าวนี้ถือว่า ช็อค ตลาดหุ้น แต่ในขณะเดียวกันทั้งสมาคมธนาคารไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกมาสนับสนุนมาตรการนี้ เพื่อเสถียภาพของระบบเศรษฐกิจไทย
และขอให้นักลงทุนมองในระยะยาว ไม่ตื่นตระหนก เมื่อสถานการกลับเข้าสู่ปกติการก็กลับมาได้

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ ถึงหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังธปท มีมาตรการว่า
เรามองว่านักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ส่วนหนึ่งต้องการผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ปกติแบงก์ไทยมีอัตราการจ่ายที่สม่ำเสมอและอยู่ในระดับที่ดี ทำให้คาดจะมีแรงขายจากประเด็นดังกล่าวออกมาบางส่วน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าปกติเงินปันผลระหว่างกาลจะมีสัดส่วนต่อเงินปันผลทั้งปีเพียง10-28.6% ในกลุ่มแบงก์ใหญ่ และ 35-75%
สำหรับแบงก์ขนาดกลาง (TMB มีสัดส่วนปันผลระหว่างกาลเทียบกับปันผลทั้งปี75% สูงกว่าปกติเนื่องจากมีการเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างในช่วงครึ่งปี หลัง) ซึ่งการงดปันผลระหว่างกาลจะทำให้นักลงทุนเสียผลตอบแทน (คำนวณจากราคาปิดวันที่19 มิ.ย.) ราว 0.5-3.4%เท่านั้น
นอกจากนี้ ธปท. ยังไม่มีการออกนโยบายสำหรับงดการจ่ายปันผลประจำปี ทำให้หากสถานการณ์ ศก. ในประเทศมีการฟื้นนตัวในช่วง 2H63และแบงก์ไทยสามารถที่จะเตรียมแผนบริหารจัดการเงินกองทุนได้ ธปท. ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะแทรกแซงนโยบายการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ของแบงก์
นอกจากนี้เราได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแบงก์ในอังกฤษ 4 แบงก์ใหญ่ที่มีการประกาศงด
จ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลประกอบการปี 2563 ในช่วงต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการที่
รุนแรงที่สุดในปัจจุบันเมื่อเทียบกับมาตรการในประเทศอื่นที่ให้งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เพื่อประเมิน
การตอบสนองของราคาหุ้นในกรณีเลวร้าย พบว่า 1) ในวันแรกที่มีการประกาศงดปันผลประจำปี 2563
ราคาหุ้นทั้ง 4 แบงก์ตอบสนองเชิงลบอย่างรุนแรงราว -7.3% ถึง -13.2% (เฉลี่ยที่ -10.3%)
2) หุ้น 3 ใน 4แบงก์มีการฟื้นตัวสู่ระดับราคาก่อนการประกาศงดจ่ายปันผลค่อนข้างเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 4-6 วัน และ 3)ผลตอบแทนเฉลี่ยสำหรับการลงทุนตั้งแต่วันที่มีประกาศงดจ่ายปันผลจนถึงวันที่ 19 มิ.ย.อยู่ที่ 13.8% มีเพียง 1 แบงก์ ที่ให้ผลขาดทุนราว 4.3%
เงินกองทุนยังรับได้ไหว แบงก์ใหญ่รับขาดทุนได้แสนล้าน
ความเสี่ยงที่เงินกองทุนของแบงก์ไทยจะไม่พอรองรับ NPL หลังหมดมาตรการพักชำระหนี้
อีกหนึ่งความกังวลคือการที่ ธปท. “ตั้งการ์ดสูง”อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าสถานะการเงินของแบงก์อยู่ใน
ระดับที่ไม่เพียงพอจะรองรับ NPL ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงปลายปี หลังครบกำหนดมาตรการพักชำระหนี้
เรามีความเห็นดังน้ คือ
1) แบงก์ไทยมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นมากหลังจากวิกฤตปี 2540 ทำให้ทุกแบงก์มี
การกันเงินสำรองทั้งในรูปแบบ Tier 1 Ratio และ Capital Adequacy Ratio สูงกว่าระดับขั้นต่ำ
ตามข้อกำหนดของ ธปท. อยู่ราว 5-8% จนมีระดับ Capital Adequacy Ratio สูงเป็นอันดับที่ 25
จาก 68 ประเทศที่มีการส่งข้อมูลให้กับฐานข้อมูล CEIC
2) ด้วยส่วนเกินของ Tier1 Ratio ของแต่ละแบงก์หากคำนวณเป็นผลขาดทุนที่สามารถรองรับได้
ก่อนที่ระดับ Tier1 Ratio ของแบงก์จะต่ำลงถึงระดับ Minimum Requirement ที่จำเป็ นต้องเพิ่ม
ทุนเพื่อรักษาระดับ Tier1 Ratio
พบว่าในกลุ่มแบงก์ใหญ่ยังสามารถรองรับผลขาดทุนได้สูงถึง100,000-150,000 ลบ. เทียบกับคาดการณ์กำไรปี นี้ที่ 20,000-30,000 ลบ. และ แบงก์ขนาดกลาง/เล็ก อยู่ที่ 13,000-80,000 ลบ. เทียบกับคาดการณ์กำไรปี นี้ที่ 5,000-12,000 ลบ. ทำให้เรามองว่าแบงก์ไทยยังมีสถานการณ์เงินทางด้านเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และการออกมาตรการของ ธปท. เป็ นเพียงการสร้างความมั่นใจว่าแบงก์ไทยจะมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับความเสี่ยงในอนาคต