หุ้นไทยก็ไม่รอดปิดร่วง 26.47จุด
สหรัฐ-อิหร่านทุบหุ้น PTT-PTTEPสวนตลาดรับน้ำมันพุ่ง"ไพบูลย์ นรินทรางกูร"ชี้ไม่น่ากังวลมากนัก เชื่อน้ำมันไม่ถึง100เหรียญ นักวิเคราะห์ปีนี้ดัชนี 1,700 จุด
บรรยากาศการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ดัชนีปรับตัวลดลงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่ทำให้เกิดความกังวล ว่าจะนำไปสู่การจุดชนวนสงคราม ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นแรงรวมถึงราคาทองคำ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลง
หุ้นไทยปิดตลาดที่ 1568.50 จุดลดลง 26.47 จุด มูลค่าซื้อขายหนาแน่น กว่า 71,087.16 ล้านบาท
ทั้งนี้หุ้นปตท(PTT)และปตท สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนตลาดเพราะจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น
โดย PTT ปิด 47 บาท บวก 0.50 บาท PTTEP ปิด 133.50 บาท บวก 3.50 บาท
ขณะที่หุ้นธนาคารอย่างกสิกรไทย (KBANK) ปิด 143.50 บาท ลดลง 9 บาท
ท่าอากาศยานไทย (AOT) ปิด 72.25 บาท ลดลง 1.75 บาท

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง เชื่อว่าจากสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมากนัก เหมือนกับที่หลายฝ่ายมีความกังวลว่าหากเกิดสงครามแล้วนักลงทุนจะตื่นตระหนกไม่สนใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำ โดยมองว่าขณะนี้มีสภาพคล่องล้นตลาดที่พร้อมจะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น ซึ่งอาจจะเลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับสูงแล้ว
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยความไม่แน่นอนใหม่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะหาทางออกให้ดีที่สุด โดยการทำสงครามจะเป็นทางออกสุดท้าย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก เชื่อว่าจะไม่กระทบจนถึงขั้นทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอย และราคาน้ำมันจะไม่ปรับตัวสูงถึงขั้นแตะระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล
ขณะที่ นักวิเคราะห์หลายแห่งประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย ปี 63 จะอยู่ที่ 1,700 จุด คาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 9-10% โดยเชื่อว่าหากสามารถทำได้จริงก็จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 62 ที่ลดลง เพราะนักวิเคราะห์หลายแห่งได้ปรับลดประมาณการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงมมาตรฐานทางบัญชี และราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น