GULF ประกาศงบไตรมาส 3/2565 กำไรจากการดำเนินงานลดลง 6% เป็นผลจากราคาก๊าซขึ้นรุนแรง

Categories : Update News, Stock Market

Public : 11/11/2022

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 24,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2-3 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ในไตรมาส 4/2564 และไตรมาส 1/2565 และรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ประเทศเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 184 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 328 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสนี้ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP ทั้ง 19 โครงการจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ

ในส่วนของกำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 4,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% หรือเพิ่มขึ้น 1,584 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 20.6% ลดลงจาก 24.6% โดยปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 268.61 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2564 เป็น 579.13 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 116% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.6298 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.4766 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า GBP GNPM GNRV2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และ โครงการโรงไฟฟ้า GUT ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ได้มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (B Inspection) ในไตรมาสนี้

ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ในไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 2,167 ล้านบาท ลดลง 126 ล้านบาท หรือ 6% จากไตรมาส 3/2564 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ลดลง 556 ล้านบาท (ในไตรมาส 3/2564 GULF รับรู้เงินปันผลรับจาก INTUCH จำนวน 1,667 ล้านบาท ในขณะที่ ในไตรมาส 3/2565 GULF ได้มีการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีของ INTUCH เป็นส่วนแบ่งกำไร จำนวน 1,111 ล้านบาท) นอกจากนี้ PTT NGD มีผลขาดทุนจำนวน 221 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเตาต่ำลง ประกอบกับราคาก๊าซสูงขึ้น (โครงสร้างรายได้ของ PTT NGD ผูกกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนอ้างอิงตามราคาก๊าซ) อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้า GSRC มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของหน่วยที่ 2-3 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า BKR2 จึงส่งผลให้ภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงานอ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อย

กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2565 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 1,087 ล้านบาท ลดลง 32% จาก 1,588 ล้านบาทในไตรมาส 3/2564 เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 7.3% จาก 35.46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 2/2565 มาเป็น 38.07 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 3/2565 ในขณะที่ในไตรมาส 3/2564 ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพียง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด

ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.96 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.89 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เนื่องจาก GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 35,000 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคม 2565 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ถึงแม้ราคาค่าก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม GULF ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 13-14% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม GULF นอกจากนี้ GULF ได้มีการลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในกลุ่ม INTUCH ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ และส่งผลให้ GULF มีกำไรที่มั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

ทั้งนี้ กำไรในไตรมาส 4/2565 จะเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ซึ่งในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วง High Season รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ ภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation สำหรับผลประกอบการในปี 2566 คาดว่ากำไรจะเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดดำเนินการ จำนวน 2 หน่วย เท่ากับ 1,325 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งแต่ต้นปี