PTTGCมองผลงานปี66สดใส-เก็บเกี่ยวผลการลงทุน2-3ปีก่อนหน้าเต็มปี

Categories : Update News, Stock Market

Public : 11/24/2022
 

PTTGC คาดผลงานไตรมาสสุดท้ายของปีต่อเนื่องปี  2566 สดใส  เก็บเกี่ยวดอกผลจาการลงทุน  ช่วง2-3ปีก่อนหน้า  ที่โครงการต่างๆจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี -การขาดทุนจากรายการพิเศษจะดีขึ้น   ยอมรับทำธุรกิจภายใต้ความเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจถดถอย สงคราม ต้องคุมต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ สำรองเงินสดพร้อมรับ

  นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ Vice President Corporate Finance&Investor Relation บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยใน "Opportunity Day" ว่า  บแนวโน้มผลการดำเนินของบริษัทช่วงไตรมาส4และ ในช่วงปี 2566  จะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากโครงการลงทุนในธุรกิจหลักๆของบริษัทที่ลงทุนไปช่วง 2- 3ปีก่อนหน้าแล้วเสร็จและจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นทุนหน้าเป็นต้นไปจะทำให้ยอดขายและกำลังผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นตามมาด้วย  ขณะที่การ  ปิดซ่อมบำรุงโรงงานในส่วนของโอลิฟินและโรงกลั่นน้ำมันในช่วงไตรมาส 4//2565 ระยะเวลาประมาณ 50 วัน ในปีหน้าการปิดซ่อมก็จะน้อยลง    จึงเชื่อว่าปริมาณการผลิตและปริมาณการขายของบริษัทก็จะเพิ่มมากขึ้นจากปีนี้

อย่างไรก็ตามบริษัทยังมองปัจจัยต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน,นโยบายของประเทศจีน รวมถึงการดำเนินการและผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่บริษัทต้องมาจับตาดูว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ส่วนคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2566 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 85-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ราว 95-99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

  ส่วนงบลงทุนปีหน้านั้น บริษัทวางไว้ประมาณ 338 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจดูลดน้อยลงอย่างมากเมื่อเทียบปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการลงทุนหลักๆของบริษัทได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อบแล้ว จึงทำให้งบลงทุนในปีหน้าจะเน้นใช้ในโครงการที่ใกล้จะเสร็จสิ้น เช่น ตัวโครงการ OMP หรือการปรับปรุงโรงงานให้ใช้ก๊าซโพรเพนได้มากขึ้น และที่เหลือจะเป็นการปรับปรุงโรงงานอื่นๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงการพิจารณาขยายการลงทุนในส่วนของ allnex ว่าจะใช้เงินเข้าไปเพิ่มมากน้อยแค่ไหน เพื่อช่วยสร้างการเติบโตในอนาคต

 "การทำธุรกิจภายใต้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆก็จะต้องระมัดระวังในการลงทุน จะต้องรอบคอบ และบริษัทจะมีการลดต้นทุนต่างๆลงอีกประมาณ 10-15%หรือประมาณ 3-3.5 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนผลดำเนินงานอีกทางหนึ่ง ขณะที่การสำรองเงินสดก็ถือว่าจำเป็นเพื่อให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง GCมีเงินสดในมือกว่า 3.7 หมื่นล้านบาทและวงเงินพร้อมใช้จากสถาบันการเงิน เพื่อรับมือและรองรับการทำธุรกิจ"

  ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/65 คาดว่าปัจจัยต่างๆไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งโดยรวมยังมองว่าราคาน้ำมันและส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังเป็นช่วงที่ย่อตัวลงมา แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/65 รายการที่จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ รายการผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง,ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่มีผลกระทบเท่ากับงวดไตรมาส 3/65 โดยเฉพาะเรื่องทิศทางค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่าแล้ว

 

 " ไตรมาส3หากดูกำไรจากการดำเนินแท้จริงแล้วบริษัทมีกำไรสุทธิกว่า 813ล้านบาทแต่เมื่อหักรายหารพิเศษที่กดดันให้ผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิกว่า 1.3 หมื่นล้าน เช่าขาดทุน สต็อกน้ำมันหลังราคาน้ำมันลงมา กว่า 20ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขาดทุนไป 8 พันล้านบาท ขาดทุนจากการทำเฮจจิ้ง กว่า2000ล้านบาทซึ่งดีขึ้นมากจากไตรมาสก่อนหน้าและจะดีขึ้นเมื่อสัญญาที่ทำไว้จะหมดลง และ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า  3 พันล้านหลังบาทอ่อนค่าลงมาก 3  บาทต่อดอลล์ ซึ่งทำให้ภาระหนี้ต่างประเทศของบริษัทเพิ่มขึ้น ประเด็นทั้งหมดนี้จะดีขึ้นในไตรมาสถัดๆไป "