“PTTGC”มั่นใจปีหน้ากลับมาปีกำไร-เปิดเดินเครื่อง “ENVICCO”โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ระดับ Food Grade
Categories : Update News, Stock Market
Public : 12/19/2022
"PTTGC" เป้าชัดสู่ Net Zero เดินเครื่อง "ENVICCO" โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ระดับ Food Grade ซึ่งผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐ มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสูงถึง 45,000 ตัน/ปี มั่นใจปีหน้าผลดำเนินงานกลับมาปีกำไร
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงดำเนินงานธุรกิจภายใต่กลยุทธ์ที่ได้กำหนดไว้ว่า แม้ว่าในปี 2566 มีปัจจัยน่ากังวล จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและจีนยังมีนโยบาย Zero Covid ทำให้มีการล็อกดาวน์อยู่ ดังนั้นบริษัทยังคงนโยบายตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและการลงทุนใหม่พิจารณาอย่างรอบคอบ
สำหรับงบลงทุนในปี 2566 ไม่สูงมากเพราะจะไม่มี การลงทุนหรือการทำ M&Aขนาดใหญ่อย่างการเข้าซื้อ allnex รวมทั้งโครงการลงทุนผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงของ Kuraray และโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ( Olefins 2 Modification :OMP) ก็แล้วเสร็จเตรียมผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส1ปี2566ด้วย ทำให้ปีหน้าบริษัทมีผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าปีนี้ เพราะปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นราว 5% มาจากโรงกลั่นน้ำมันเดินเครื่องเต็มที่จากปีนี้ที่มีการปิดซ่อมบำรุง โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ที่ผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปี โครงการ Olefins 2 Modification (OMP) เพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบ (Feedstock) โดยจะได้โพรพิลีนเพิ่มจำนวน 63,000 ตันต่อปี และ โครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade ของบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO)ที่จะเดินเครื่องจักรเพิ่มขึ้นเป็น60-80%ของกำลังผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลประเภท rPET และ rHDPE 4.5 หมื่นตันต่อปี หากองค์การอาหารและยา(อย.)อนุมัติใบอนุญาตรองรับมาตรฐานความปลอดภัยการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET เพื่อขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติช่วงไตรมาส 1 / 2566
ทั้งนี้ ENVICCO มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลสูงถึง 45,000 ตัน/ปี, เม็ดพลาสติก ชนิด rPET จำนวน 30,000 ตัน/ปี และเม็ดพลาสติก ชนิด rHDPE จำนวน 15,000 ตัน/ปี โดยช่วยลดขยะพลาสติกในประเทศไทย ได้ถึง 60,000 ตัน/ปี และลดก๊าซเรือนกระจกได้ 75,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เทียบเท่าการปลูกป่าประมาณ 78,000 ไร่ หรือ ปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 8.32 ล้านต้น
" บริษัทฯ ตั้งเป้าปี 2566 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ (เทิร์นอะราวด์) และยอดขายเติบโตขึ้น จากธุรกิจโรงกลั่น สามารถเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต หลังปีนี้ปิดซ่อมบำรุงไปแล้วและรับรู้ผลการดำเนินงานของ บริษัท Allnex Holding GmbH หรือ Allnex เข้ามาเต็มปี รวมถึงการดำเนินงานของสำนักงาน PTT International Trading USA Inc. หรือ PTTT USA ณ เมืองฮิวสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการค้าในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะการค้าปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ยังมีการเติบโตดี ส่วนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา แม้จะชะลอออกไป แต่ยังอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนต่อเนื่อง ขณะที่งวด 9 เดือนของปี 65 PTTGC รายงานขาดทุนสุทธิ 7,784 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปี 64 มีกำไรสุทธิ 41,735 ล้านบาท " นายคงกระพันกล่าว
นายคงกระพัน กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบการซื้อกิจการ (M&A) โดยสนใจโครงการพลาสติกรีไซเคิล หรือโครงการลดคาร์บอนในสหรัฐฯ เพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ด้านเงินทุนจากสหรัฐ คาดว่าน่าจะได้เห็นความชัดเจนได้ในปีหน้า ส่วนเงินลงทุนดังกล่าว คาดใช้ไม่มาก เนื่องจากจะเป็นโครงการที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่
ทั้งนี้ สหรัฐฯได้ออกกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ที่มาตรการจูงใจด้านภาษีและการอุดหนุนสำหรับโครงการที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ผลตอบแทนการลงทุน(IRR)โครงการผลิตพลาสติกรีไซเคิลสูงขึ้น ส่วนรูปแบบการลงทุนทำได้ทั้งการเข้าควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A) การลงทุนตั้งโรงงานใหม่ โดยอาจจะร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์หรือทำเองก็ได้ เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูง แต่มีตลาดขนาดใหญ่รองรับ
ส่วนโครงการท่าเรือขนส่งก๊าซฯนั้น บริษัทสนใจที่จะเข้าร่วมทุนในธุรกิจดังกล่าวที่สหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซฯที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาก๊าซฯในสหรัฐฯถูก จึงเป็นโอกาสในการส่งออกก๊าซฯมาจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงที่ปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยผลิตได้น้อย สำหรับโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯนั้นยังคงชะลอการลงทุนจนกว่าจะหาพันธมิตรร่วมทุนได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนเพราเป็นโครงการขนาดใหญ่และใช้เงินลงทุนสูง
นายคงกระพัน กล่าวว่า บริษัทฯ ถือว่ามีความพร้อมด้านเงินทุน จากต้นทุนการเงินต่ำ และล่าสุดได้มีการเซ็นสัญญากับธนาคารไทยพาณิชย์ ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของบริษัท มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท และยังเตรียมออกหุ้นกู้ มูลค่าราว 1.3 พันล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการทำธุรกิจของ บริษัทนั้น เราจะมีประมาณ 5 กลุ่มธุรกิจหลักๆ คือ กลุ่มแรกเป็นธุรกิจ พื้นฐานแบบดั้งเดิม เช่น โรงกลั่น อะโรเมติกส์ โอเลฟินส์ 2. อินเทอร์มิเดีย ฟีเอน 3. โพลีเมอร์ เป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับลูกค้าการทำ R&Dเป็นเรื่องสำคัญ 4. กลุ่มไบโอแลั เซอร์กูลาอีโคโนมี 5. เพอร์ฟอแมน ซึ่งในปี 2030 อีบิทดาจาธุรกิจในกลุ่ม 4และ 5 จะเข้ามามีสัดสัดส่วน 35 % ของอีบิทดาทั้งหมดของบริษัท
" เป้าหมายการสู่Net Zero เป็นศูนย์ของบริษัทในปี 2050 นั้น เราจะลดด้วยตัวเอง 50 %ด้วยการขบวนการใน ส่วนอีก50 เราจะดึงจากอากาษลงมา มันจะทำให้เรา เข้าสู่ Net Zero แม้ว่าจะมีการเปิดให้ซื้อได้แต่เราก็จะซื้อได้แค่ 10%เท่านั้น ดังนั้นเราจะมุ่งในการทำแผนรวมถึงการหาโอกาสในการซื้อเข้ามาด้วยตามพื้นที่และประเทศที่บริษัทได้เปิดดำเนินการอยู่ "