เอเชียพลัสชี้ตลาดหุ้นรอ2 ปัจจัยการเมืองเลือกนายกรัฐมนตรีเร็ว/รัฐบาลมีเสถียรภาพ

Categories : Update News, Stock Market

Public : 07/05/2023

"เอเซียพลัส" ชี้2 ปัจจัยหนักการเมืองนักลงทุนอยากเห็น เลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งเดียวจบ/รัฐบาลมีเสถียรภาพ ภายใต้2โจทย์นี้หุ้นวิ่งขึ้น 1520-1550 จุด  ใตทางกลับกันไม่เข้า2 โจทย์ หักหัวลง 1460 ได้เห็นอีก " แนะจังหวะ SET หลุด 1,480 เข้าสะสมรอการเมืองชัด ชี้เป้า 7 หุ้นเด่น-แบ่งลงทุนทางเลือก

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ช่วงารเลือกตั้ง การเมืองมีน้ำหนักต่อการลงทุนมากที่สุด หลังจบเลือกตั้งถือว่าคาดผิดกันทั้งหมดว่าหุ้นจะขึ้น แต่กลับทิศลวยาว ครึ่งปีแรกติดลบ 10% มาร์เก็ตแคป ลงมาเหลือ 17ล้านล้านต่ำกว่า จีดีพี ของประเทศ ส่วนหลังจากนี้ 2 ประเด็นหลักที่นักลงทุนอยากเห็นคือ การเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องเร็วหรืออย่าเลือกหลายครั้ง และรัฐบาลใหม่ต้องมีเสถียรภาพ ซึ่งถ้าเป็นตามนี้ ดัชนีหุ้นจะขึ้นไป แนวต้าน 1520-1550 จุดได้และหากฟันโฟว์ไหลเข้าร่วมด้วยโอกาสเห็น 1610 จุดปลายปี ยังเกิดขึ้นได้

 ทว่าในทางกลับกันเลิอกนายกรัฐมนตรีช้า รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ดัชนีก็มีโอกาสลงไป1460 จุดได่

" คงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 66 ที่ 1,610 จุด และกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ที่ 91.80 บาท/หุ้น ช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวหลังปัจจัยทางการเมืองชัดเจน และจะเริ่มเห็น Fund Flow ต่างชาติทยอยไหลกลับเข้ามาหลังจากออกไปมากแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ช่วยหนุนดัชนี SET ให้กลับฟื้นขึ้นมาจากขณะนี้ กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3/66 แนะนำหุ้นที่คาดว่างบฯไตรมาส 2/66 และไตรมาส 3/66 จะออกมาดี หรือหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาลงไปลึกแล้วและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ BEM, JMT, SCGP, SCB, IVL, ERW และ III รวมถึงหาจังหวะทยอยสะสมหุ้นเมื่อดัชนีลงไปต่ำระดับกว่า 1,480 จุด และหากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนแล้วมองว่าดัชนีจะปรับขึ้นไปทะลุ 1,520 จุดได้"

สำหรับการแบ่งสัดส่วนการลงทุนนั้นแนะนำให้ถือเงินสด 10% หุ้นไทย 30% หุ้นต่างประเทศ 30% ตราสารหนี้ 15% ส่วนที่เหลืออีก 15% เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก หรือ Structure Note และหากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเห็นการสิ้นสุดลงแล้ว และมีโอกาสปรับลดลง สินทรัพย์ที่ถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะเริ่มได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะกอง REITs ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่นักลงทุนอาจจะหาจังหวะการทยอยสะสมได้เช่นกัน

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/66 มองว่ายังแกว่งผันผวน โดยที่ยังมีความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่มีโอกาสเกิดภาวะถดถอย (Recession) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีการส่งสัญญาณในการขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักๆยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอยู่ค่อนข้างมาก

"ปัจจัยการเมืองถือเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมาก ไม่ว่าผลของการเมืองจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่ตลาดต้องการมี 2 เรื่อง คือ 1. Process ในการโหวตเลือกนายกฯและตั้งรัฐบาลต้องไว จะต้องโหวตรอบเดียวผ่านได้ยิ่งดี 2. รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ และมีความเป็นเอกภาพ เพราะหลังจากนี้ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกที่จะมากระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ Recession ซึ่งเป็นความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจประเทศและมีผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทย" นายเทิดศักดิ์ กล่าว

ขณะเดียวกันนโยบายการเงินในประเทศ โดยเฉพาะการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทย แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนถึงปัจจุบันจำนวน 6 ครั้ง แต่มองว่ามีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 1 ครั้ง แต่การประชุมในครั้งที่จะถึงนี้อาจจะคงดอกเบี้ยก่อน แล้วค่อยไปปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยได้อยู่บ้าง แม้ว่าเงินเฟ้อเดือนพ.ค. 66 ที่ออกมาจะเริ่มเห็นการชะลอตัวลงมาต่อเนื่องจากเดือนพ.ค. 66 แต่ยังมีโอกาสที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังปรับขึ้นได้ตามทิศทางของดอกเบี้ยโลก