กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ คาด Q3/66 จบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้ Q4/66 เศรษฐกิจฟื้นตัวแนะคว้าโอกาสช่วงดอกเบี้ยขาลง เตรียมลงทุน 3 เดือนข้างหน้า
Categories : Update News, Finance
Public : 07/10/2023นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)
• อัปเดตกองทุนเด่น สร้างโอกาสผลตอบแทนท่ามกลางความผันผวนสำหรับโอกาสการลงทุนในกองทุนรวม นางสาวพรชนก รัตนรุจิกร, CFA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี ได้ให้ความเห็นว่า หากเทียบกับปีที่แล้ว ภาพรวมการลงทุนในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่สิ่งที่ยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ อัตราเงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น ในการลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง จึงแนะนำการลงทุนในกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลคอร์อโลเคชั่น (KF-CORE) ของ BlackRock ซึ่งเน้นการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว และมีการจัดการในเชิงรุก พร้อมกับมีกลยุทธ์กระจายการลงทุนที่หลากหลาย และยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG ซึ่งเน้นลงทุนในกลุ่มRatingตั้งแต่ BBB ขึ้นไป โดยจากการศึกษาพบกว่าหุ้นกลุ่มที่มีคะแนนด้าน ESG สูง จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวได้สูงกว่า และยังมีอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjusted Return) ที่ดีกว่าด้วย สำหรับผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับดีกว่าคู่แข่ง และสามารถใช้เป็น Core Port เนื่องจากมีการกระจายพอร์ตที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสภาวะการลงทุน และอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจคือ กองทุนที่ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งในปีนี้หุ้นกลุ่มเทคฯ เริ่มฟื้นตัวกลับมา แนะนำกองทุนเปิดกรุงศรีเวิล์ดเทคอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KFHTECH-A) ที่ให้ความสำคัญและมีมุมมองในเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก AI และกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็น Key Driver ของภาพเทคโนโลยีในอนาคต
นางสาวพรชนก รัตนรุจิกร, CFA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี
• ชี้เป้าหุ้นไทยตัวเด่นเข้าพอร์ต ‘AI อิเล็กทรอนิกส์-นิคม-ค้าปลีก-โรงพยาบาล’ ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความเห็นในส่วนของหุ้นไทยกับบริบทการเติบโตของ AI ว่า สถานการณ์ตลาดในประเทศไทยยังอยู่ในช่วง Underperform หากเทียบกับตลาดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัว ลง ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นได้ สิ่งสำคัญ คือ การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เลือกหุ้นที่มั่นคง และมีโอกาสที่ธุรกิจยังคงอยู่ต่อไปในอีก 3-5 ปี อาทิ กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มค้าปลีกที่เติบโตไปกับเศรษฐกิจฐานราก โรงไฟฟ้า นิคมอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มธนาคาร และกลุ่มโรงพยาบาล สำหรับหุ้นธีมหลักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเทคโนโลยี ได้แก่ 1) ธุรกิจต้นน้ำ ต้องยอมรับว่าประเทศไทย ไม่มีธุรกิจผู้ผลิตชิปโดยตรง อย่างไรก็ตาม แนะนำ HANA Microelectronics ซึ่งเป็นธุรกิจส่วนประกอบของชิปอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการประมวผลขั้นสูง มีส่วนสำคัญกับการเติบโตของเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์ของ AI 2) ธุรกิจขั้นกลาง เป็นตัวกลางในการจัดระบบและประมวลผลข้อมูลต่างๆ แนะนำ BE8 ที่ช่วยบริษัทต่างๆ ให้สามารถนำเทคโนโลยีอย่าง AI มาใช้กับธุรกิจได้จริง อาทิ ระบบ CRM Platform สำหรับใช้ในองค์กรใหญ่ 3) ธุรกิจขั้นปลาย ที่นำเอา AI ไปใช้ในธุรกิจสาขาต่างๆ อาทิ การแพทย์ การเงินการธนาคาร ธุรกิจสื่อ และธุรกิจค้าปลีก แนะนำ BDMS CPEXTRA ADVANC เป็นต้นนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)
• เปิดเทคนิค ‘จัดพอร์ตให้เติบโตอย่างยั่งยืน’ พร้อมแนะจังหวะเข้าซื้อสำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตในครึ่งปีหลังนี้ นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวว่า ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวลงมาต่อเนื่อง แต่ Core Inflation ยังปรับตัวลงช้าเนื่องจากเงินเฟ้อภาคบริการที่ยังขยายตัวโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ มองว่า Fed จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2024 สำหรับภาพรวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นมามาก โดยเฉพาะ Top 7 ของ S&P500 อาทิ Microsoft Apple Nvidia Tesla Meta Amazon และ Alphabet อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว และให้น้ำหนักกับหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ที่มีราคาไม่แพงเกินไป สำหรับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับ AI แนะนำกองทุนเปิดกรุงศรีเวิล์ดเทคอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KFHTECH-A) กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลโกรท (KFGG-A) กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL GOPP-A) หรือจะจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงใน Flagship Fund อาทิ กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ KF-CSINCOM ของ PIMCO ซึ่งมีจังหวะซื้อที่น่าสนใจ คือ 10Y Treasury Yield ที่ 3.5 - 4.0% กองทุนที่เน้นการจัดพอร์ต KFCORE ของ BlackRock ซึ่งยังมีจังหวะเข้าได้เรื่อยๆ และสุดท้ายกองทุนหุ้นทั่วโลก KFGBRAND-A KFESG-A K-CHANGE-A(A) ซึ่งอาจจะรอจังหวะที่ S&P 500 ลงมาที่บริเวณ 4,200 จุด จึงจะเหมาะสม