ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้กดความเชื่อมั่นนักลงทุนหด-ทิ้งหุ้นกลางเล็ก

Categories : Update News, Stock Market

Public : 07/10/2023

ผลตอบแทนของสินทรัพย์ในแต่ละกลุ่มของช่วงครึ่งแรกปี 2566 แสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนมีความสนใจในสินทรัพย์เสี่ยงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเติบโตและกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อีกทั้งหุ้นกู้ High Yield ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้โดยรวมสะท้อนมุมมองผู้ลงทุนที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจเห็นสัญญาณจากรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นในภาคการคลังขนาดใหญ่เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับอานิสงส์จากที่มีการค้าขายกับจีนมาก รวมถึงภาคการท่องเที่ยว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2566ธนาคารโลก (World Bank) คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโตขึ้นที่ร้อยละ 3.9 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับลดลงจากต้นปี 2566 จากกรณีมีหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่งผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลในการลงทุนทั้งในตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ จึงเห็นแรงเทขายในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่การเมืองในประเทศที่มีพัฒนาการดีขึ้นหลังได้ประธานสภาฯ ส่งผลให้ดัชนีต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้นและหากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward PE ของ SET ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศเริ่มกลับมาซื้อสุทธิในครึ่งแรกปี 2566

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,503.10จุด ปรับลดลง 2.0% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 9.9% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยปรับไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นใน ASEAN
ในเดือนมิถุนายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มบริการ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
ในเดือนมิถุนายน 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 47,893 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 33.2% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 6 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 58,670 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ห้า โดยในเดือนมิถุนายน 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 8,617 ล้านบาทอย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14
ในเดือนมิถุนายน 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) และใน mai 2 หลักทรัพย์ได้แก่ บมจ. ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น (TBN) และ บมจ. ไทยพาร์เซิล (TPL)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 20.6 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.2 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566อยู่ที่ระดับ 3.22% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.38%