SCAP เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เคาะดอกเบี้ย 4-4.70%

Categories : Update News, Finance, Wealth

Public : 07/24/2023

SCAP เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เคาะดอกเบี้ย 4.00-4.70% เสนอขายระหว่าง 3-4 และ สิงหาคม 2566 ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ 

ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (“SCAP”) เปิดเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ รุ่น วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้าน บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ ปี เดือน ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ อายุ ปี ดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป (ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน) เปิดจองซื้อระหว่าง 3 – 4 และ 7 สิงหาคม 2566 นี้  

นายวิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) เปิดเผยว่า SCAP กำหนดอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้าน บาท โดยมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านบาทประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี ซึ่งจะจัดจำหน่ายผ่าน 6 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โดยหุ้นกู้ทั้ง ชุด จะชำระดอกเบี้ยทุก เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป 

การเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัท ซึ่งนับเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจและขยายกิจการผ่านการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ลูกค้าของบริษัท

การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทพร้อมสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์ Build Strength from Strength ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งผ่านจุดแข็งที่โดดเด่นในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยต่อยอดจากความสำเร็จที่ผ่านมา และพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น มุ่งเน้นพัฒนาการบริการและผลิตภัณฑ์เดิมให้ตอบโจทย์ลูกค้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง และในเชิงกว้างด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่จากธุรกิจหลัก และธุรกิจใหม่อื่นๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและสนับสนุนให้พอร์ตสินเชื่อคงค้างรวม สินเชื่อใหม่ และรายได้ เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 

สำหรับเป้าหมายในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อคงค้างรวมจากธุรกิจหลักที่ระดับ 30,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นราว 60% เมื่อเทียบกับปีก่อน และปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยหากบริษัทปล่อยสินเชื่อได้เป็นไปตามเป้าหมาย จะส่งผลให้เกิด Economies of Scale ผลักดันให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

หลังจากเครือศรีสวัสดิ์ได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยบมจ. ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) จะเน้นทำธุรกิจจำนำที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่วน SCAP เน้นทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อยอื่นๆ แบบครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนเข้าใจความแตกต่างในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งแผนในปี 66 เราเล็งปรับบริการและผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า และเร่งศึกษาสินเชื่อรายย่อยใหม่ๆเพื่อสร้าง Ecosystem แบบครบวงจรในธุรกิจ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำสินเชื่อรายย่อยระดับต้นๆ ของเมืองไทย  

บริษัทมีแผนระยะยาวที่จะมุ่งเน้นการทำกำไรโดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนสูงในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยแบบครบวงจร และมีการกระจายตัวของสัดส่วนทางธุรกิจ ทั้งในแนวลึก และแนวกว้าง เพื่อลดการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ช่วยกระจายความเสี่ยงและปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนให้เกิดการสร้างรายได้ และผลกำไรแก่บริษัทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถาบันการเงินผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ SCAP กล่าวเพิ่มเติมว่า หุ้นกู้ SCAP ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน จากการเป็นบริษัทหลักในกลุ่มศรีสวัสดิ์และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 3 – 4 และ 7 สิงหาคม 2566 นี้ จะมีหุ้นกู้ ชุดให้เลือกจองซื้อตามระยะเวลาที่ต้องการลงทุน มีผลตอบแทนที่น่าพอใจ รวมถึงอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade ที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี