ตลท. พร้อมขยายเวลาเทรดหุ้น!ระบบทุกอย่างรองรับได้ -โรดโชว์ดึงนลท.ต่างชาติ เพิ่มวอลุ่มฯเทรด

Categories : Update News, Stock Market

Public : 10/05/2023

   ตลท.พร้อมขยายเวลาเทรดหุ้น เหตุมีผลศึกษาอยู่แล้วแค่ อยากให้ได้ประโยชน์สูงสุด! ชงบอร์ดอนุมัติทันทีและเปิดรับฟังความเห็นจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ระบบรองรับได้ ส่วนจะเพิ่มมูลค่าซื้อขายแค่ไหนต้องดูว่าระยะเวลาที่ขยายนั้นจะเช้า-กลางวัน-เย็น กลุ่มนักลงทุนต่างชาติต่างกัน   หลังหารือกับนายกฯ พร้อมชงแผนพัฒนาตลาดทุนไทย 4 เรื่อง เล็งจัดโรดโชว์ดึงความเชื่อมั่นนลท.ต่างชาติ

 

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เตรียมศึกษาการขยายระยะเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) เพิ่มขึ้น ภายหลังการหารือกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากผลการศึกษาแล้วเสร็จคาดว่าจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน โดยมองว่าที่จริงเรื่องนี้ได้ทำการศึกษามาโดยตลอดว่าช่วงเวลาการซื้อขายควรจะมีการปรับปรุงอย่างไรบ้าง แต่ในอดีตเรายังไม่เห็นประโยชน์ที่สูงมากนัก แต่ตอนนี้คิดว่าควรนำกลับมาคิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะดำเนินการศึกษารวมถึงสอบถามความเห็นจากผู้ร่วมตลาดและฝ่ายงานกำกับดูแล

 

ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้ติดขัดอะไรในการปรับเพิ่มเวลาการซื้อขายหุ้น เพราะระบบของตลท.เกือบจะสามารถเปิดให้ซื้อขายได้ตลอดเวลา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนจะได้ประโยชน์จากการขยายเวลาเทรดอย่างไร ส่วนตลท.ยืนยันไม่ได้มีอะไรที่เป็นข้อจำกัด แต่ต้องไปศึกษาประโยชน์ที่เราจะได้สูงสุดคือการขยายเวลาหรือการทำอะไรยังไงบ้าง

 

ขณะที่ประโยชน์ของการขยายระยะเวลาเทรดก็ขึ้นอยู่กับว่ามีการขยายเวลาในช่วงไหน เนื่องจากการซื้อขายของตลาดหุ้นทั่วโลกมันต่อเนื่องกัน ซึ่งการขยายระยะเวลาก็คงต้องดูว่าจะช่วงเช้า เที่ยงหรือเย็น เพราะประโยชน์แต่ละช่วงไม่เหมือนกัน ซึ่งตลท.ต้องเอาผลการศึกษาไปให้ผู้ร่วมตลาดได้เห็น เช่น เปิดตลาดช่วงเช้า ตอนเที่ยง และตอนเย็นเร็วขึ้นข้อดีคืออะไร เพราะแต่ละช่วงจะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่ก็ขึ้นกับช่วงที่จะขยายเวลาตรงกับตลาดเอเซีย ยุโรป หรือสหรัฐฯหรือไม่

 

"  การขยายเวลาในแต่ละช่วงที่ไม่เหมือนกัน อาจได้วอลุ่มฯมาจากนักลงทุนที่แตกต่างกัน เช่น ช่วงเช้าอาจมาจากนักลงทุนกลุ่มเอเซีย ช่วงเที่ยงน่าจะเป็นกลุ่มเอเซียกับยุโรป และช่วงเย็นจะเป็นกลุ่มนักลงทุนยุโรปเป็นหลัก ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องไปดูว่ากลุ่มนักลงทุนกลุ่มไหนที่เราน่าจะได้ประโยชน์สูงสุด  และเรา การศึกษาและไปเฮียริ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็คงขึ้นอยู่กับเราจะได้ข้อสรุปการศึกษาเร็วแค่ไหน แต่จริงๆเราได้ทำการศึกษาเตรียมไว้หมดแล้ว ซึ่งเราจะรีบเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการตลท. และไปทำเฮียริ่งกับอุตสาหกรรม" นายภากร กล่าว

 

 ขณะที่การหารือกับท่านนายกฯในช่วงที่ผ่านมามี 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ต้องมีการปรับกระบวนการทำงาน การให้ข้อมูล การจัดการการซื้อขายหุ้น และการยกระดับการจัดการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ให้ความเชื่อมั่นกลับมาในตลาดทุนให้ได้มากขึ้น เนื่องจากที่เกิดเหตุการณ์กรณีของ MORE เมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2566 และกลางปี 66 กรณีของ STRAK ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้วงการตลาดทุนรู้ว่าจะต้องปรับตัวและทำงานร่วมกันมากขึ้น ดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น และรุนแรงขึ้น แต่ต้องบาลานซ์ไม่ทำให้การทำธุรกิจ การลงทุน และการระดมทุนยากกว่าเดิม

 

2. ต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และออกไปชักชวนหรือโรดโชว์นักลงทุนต่างชาติให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ ซึ่งตอนนี้มีหลายธีม อาทิ ความยั่งยืน (Sustainability) รูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve) อาทิ ธุรกิจพลังงานสะอาดหรือธุรกิจอีวี และเรื่องของ Well Being เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น

3. ต้องทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่นักลงทุนรายย่อยและธุรกิจรายย่อย สามารถใช้ตลาดทุนไทยทั้งในการระดมทุนและไปลงทุนในต่างประเทศได้

 

และ4. ต้องผลักดันตลาดทุนไทยไปสู่ระดับภูมิภาค ซึ่งตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายนี้อยู่แล้วในการสนับสนุนให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาระดมทุนในประเทศไทย

 

“นโยบายที่เราได้รับจากนายกฯ ถือว่าค่อนข้างสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยที่เราดำเนินการอยู่” นายภากร กล่าว

 

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าด้านภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นเดือน ก.ย.66 SET Index ปิดที่ 1,471.43 จุด ปรับลดลง 6.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาคและปรับลดลง 11.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 65 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ

 

ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 49,462 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 34.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 9 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท และผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนที่ 8 โดยในเดือนก.ย.66 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 22,436 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายกลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน จึงทำให้เห็นสัญญาณเงินทุนไหลออกจากหลายตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและทำให้เงินสกุลต่างๆปรับตัวอ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ดีผู้ลงทุนต่างชาติยังรอจังหวะการกลับเข้าซื้อหุ้นไทยด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทิศทางค่าเงินบาท รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย