บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองหุ้นปี67 ดัชนี 1,650-1,700จุดให้จังหวะเข้าซื้อ 1,400-1,450จุด คัด10หุ้นเด่น AMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC และ SCGP กำไรฟื้น
Categories : Update News, Stock Market
Public : 01/16/2024บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองหุ้นปี67 ดัชนี 1,650-1,700จุดให้จังหวะเข้าซื้อ 1,400-1,450จุด คัด10หุ้นเด่น AMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC และ SCGP กำไรฟื้น! มีโอกาสให้กำไร30%
นายสุกิจ อุดมศินิกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปีมังกรทอง 2567 คาดว่าเป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า “A Year of Value Investing” ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นชั้นนำอย่าง สหรัฐฯ และ ยุโรป เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตในระดับสูงอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยมีโอกาสที่จะเห็น เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้นอีกด้วย หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง”
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 1 ปี 2567 ว่า “ภาพรวมการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2567 ยังคงมีความผันผวนสูง คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสเกิดภาวะถดถอย แต่หุ้นไทยและเอเชียที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจะมีความน่าสนใจลงทุนมากกว่าหุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว
ตลาดหุ้นไทยจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ความผันผวนจะมีตลอดทั้งปี ปัจจัยหนุนมาจากงบประมาณที่กำลังทยอยเบิกจ่าย และมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ กลุ่มหุ้นยั่งยืน (ESG) จะมีความสำคัญ และได้รับความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มมากขึ้นเพราะมีโอกาสให้ผลตอบแทนดี กำไรฟื้นและมีต้นทุนการเงินลดลง ส่วนหนุ่นเด่นที่น่าสนใจและมีโอกาสกำไรเติบโต หุ้นที่น่าลงทุน มี 10 บริษัท
ประกอบด้วยAMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC และ SCGP เพราะกำไรเติบโต การเข้าลงทุนมีโอกาสให้ผลตอบแทนเกินกว่า 30% และสามารถใส่เงินลงทุนในหุ้นแต่ละตัว ประมาณ10%ของเงินลงทุน
“ เรามองว่าจังหวะเข้าซื้อหุ้นรอบนี้จะอยู่ที่ดับดัชนี 1,400-1,450จุด เพราะมองว่าหลังจากนี้หุ้นไทยจะฟื้นตัวจากกำไร บจ. ที่ดีขึ้นโดยปีนี้ประเมินEPSจะโต 17% จากปีก่อน”
สำหรับปัจจัยที่กดดันให้ ตลาดหุ้นโลกและไทยยังคงมีความผันผวนในปีนี้จาก
3 ปัจจัยดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ - ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเกิดภาวะถดถอยในช่วง 1H24 และ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะลดลงเร็วตามที่ตลาดการเงินกำลังคาดหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามคาดจะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย (การลดลงช้ากว่าคาดอาจทำให้ตลาดหุ้นผิดหวัง
-ด้านเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้การเติบโตชะลอตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา และกำลังสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับอินเดีย นอกจากนี้ยังต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นว่าจะเริ่มหยุดผ่อนคลายเมื่อไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ Digital wallet ว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่
2) เรื่อง Geopolitics นั้นถือว่าเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลา เนื่องจากมีโอกาสกระทบต่อเศรษฐกิจโดยผ่านทั้งทางเงินเฟ้อ หากความขัดแย้งกระทบต่อราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการขนส่งสินค้า หรือก่อให้เกิดสงครามด้านเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้างขึ้น เช่น กรณี สหรัฐฯ-จีน โดยในปี 2567 ต้องติดตามท่าทีของจีนกับไต้หวันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสมบูรณ์ (ผลกระทบต่อธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์) และ การเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนอีกด้วย
3) ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ซึ่งคาดการณ์ยากแต่ไม่ควรมองข้าม” นายสุกิจ กล่าวเสริม