“เอเซีย พลัส” เปิดสถิติ 10ปี ต่างชาติขายหุ้นไทย 1 ล้านล้าน ยอมขายขาดทุน มองหุ้นไทยสิ้นปี 67 ในกรอบ 1,650-1,670 จุด

Categories : Update News, Stock Market

Public : 02/01/2024

“เอเซีย พลัส" เปิดสถิติ 10ปี ต่างชาติขายหุ้นไทย 1 ล้านล้าน ยอมขายขาดทุน มองหุ้นไทยสิ้นปี 67 ในกรอบ 1,650-1,670 จุดบนสมมุติฐาน EPS 96-97บาท ทางเทคนิค 1350 อย่าหลุด! ทานไม่ไหว เจอกัน 1310 จุด คัดหุ้นปันผลสูงลงทุนได้

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาจะกลับเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากส่วนใหญ่ได้ขายหุ้นไทยไปค่อนข้างมากแล้ว และที่ยังไม่เข้ามาลงทุนเพราะไม่เห็นอัพไซด์

 อย่างไรก็ตามจากสถิติ10ปีพบว่าต่างชาติขายหุ้นไทย 1 ล้านล้านบาท การขายเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต่างๆ และยอมขายขาดทุน และจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นวี่แววเงินต่างชาติ ไหลกลับมา เพราะ Growth ของ GDP ต่ำ ต่างชาติก็ขายหุ้นออกไปลงทุนที่อื่น

ส่วนนโยบายแจกเงินดิจทัล 10,000 บาท โดยส่วนตัวไม่สนับสนุน แม้ข้อดีคือ คนรู้จักใช้ดิจิทัลมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ ไม่ใช่เป็นการลงทุน เป็นแค่การแจกเงินระยะสั้น

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส(ASPS) กล่าวว่า มองเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 67 น่าจะอยู่ที่บริเวณ 1,650-1,670 จุด ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า และใช้ EPS67F (กำไรต่อหุ้น) 96 - 97 บาท/หุ้น แนวรับสำคัญ 1,350 จุด ถ้าหลุดก็จะเข้าใกล้ 1,300 จุด

 

มุมมองทางปัจจัยพื้นฐาน ถือว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างดีกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 67 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ประเมิน EPS Growth ที่ 12% โดย บจ.ในกลุ่ม SET50 มากกว่า 50% สามารถทำกำไรได้สูงกว่าระดับก่อนเกิด Covid-19

 

ส่วนมุมของ Valuation พบว่าค่า PER สิ้นปี 67 อยู่ที่บริเวณ 14 เท่า มีค่า PBV ที่1.34 เท่าซึ่งถือว่าอยู่ระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีต ขณะที่หากพิจารณาระดับ Market Earing Yield Gap (ใช้กำไรคาดการณ์ปี 67) อยู่ที่ 4% ซึ่งถือเป็น Valuation ที่ถูกและเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว

นอกจากนี้ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายก็ถือได้ว่าสิ้นสุดวัฏจักรขาขึ้นแล้ว และอยู่ในช่วงที่รอเวลาปรับลดลง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ยิ่งจะทำให้ Market Earning Yield Gap ขยายตัวสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจขึ้น ตามลำดับ

 

ขณะที่หากพิจารณาในมุมของเศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัว 3.5- 4% แม้จะมีความล่าช้าของโครงการภาครัฐฯ อาทิ โครงการดิจิทัล วอลเล็ต ดังนั้นระยะยาว แรงผลักดันผ่านนโยบายการคลัง แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ จะเรียกความเชื่อมั่น พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นไปได้ยากในระยะสั้น เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น มีมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ย 4.5 หมื่นล้านบาท/วัน  คิดเป็น TURNOVER ราว 65% ต่อปี จากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงระดับความไม่มั่นใจของนักลงทุนจากหลากหลายปัจจัย ความไม่เป็นเอกภาพของแนวนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังของประเทศ รวมถึงความกังวลการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งปี67 มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระจำนวนมากราว 8.8 แสนล้านบาท

 

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลในรูปแบบการซื้อขาย ผ่าน Program Trading และ การทำShort Sell ในหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ สภาวะดังกล่าว ทำให้ SET Index มีความผันผวนเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในระยะสั้น

 

กลยุทธ์ที่แนะนำ เป็นการให้สะสมหุ้น คุณภาพดีที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องเพื่อการลงทุนระยะยาว อาทิ AP, SPALI, ADVANC, PTTEP, TTB และหุ้นอ้างอิงกับการท่องเที่ยว AOT, BDMS หลังจากมีการเปิดฟรีวีซ่าไทย-จีน ถาวรตั้งแต่เดือน มี.. เป็นต้นไป