PTTGCเดินหน้าปั้น “มาบตาพุด” Hub อาเซียน เป็นฐานรากที่มั่นคงยั่งยืน- ดึงallnex มาตั้งฐานผลิต

Categories : Update News, Stock Market

Public : 06/18/2024

เปิดวิสัยทัศน์ "ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ "ซีอีโอ  PTTGC   ดันมาบตาพุด Hub อาเซียนภายใน 3-5ปี  เป็นฐานรากที่มั่นคงยั่งยืน ดึง  allnex มาตั้งฐานผลิต สานต่อ กลยุทธ์ 3 Step Plus ปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งสู่กลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนตํ่า บุกตลาดเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA สินค้า มูลค่าสูง HVP จาก 20% เป็น 30% ในปี 2030 พร้อมปรับกลยุทธ์ทางการเงินแข็งแกร่ง เพิ่มเงินสดลดหนี้ 1000 ล้าน ด้านผลดำเนินงานดีต่อเนื่องไตรมาส2จ่อบุ๊คกำไรพิเศษซื้อคืนหุ้นกู้ 2.8พันล้านบาท

                 ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ พีทีทีโกลบอล เคมิคอล  เปิดแถลงข่าวเป็นครั้งแรก ภายหลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ ว่า " ผมเริ่มทำงานและอยู่กับองค์กรมาตั้งแต่ TOC และ มีการควบรวมกันในกลุ่มจนมาเป็น  PTTGC ในปัจจุบันและร่วมงานกับ  กับPTTGC  มากว่า 17  ปี ในสายงานต่างๆทั้งการลงทุน การ ซื้อกิจการ กิจการต่างประเทศ ซึ่งผมจะนำประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา มาผนวกใช้ในการ บริหาร  และจะสาน  ต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus ซึ่งผมเป็นหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธ์ศาสตร์นี้ต่อไป

  นอกจากนี้จะหันมาให้ความสำคัญกับการ ผลักดัน มาบตาพุด  ซึ่งถือเป็นฐานรากและที่มั่นสำคัญ  สู่การเป็น Hub ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value) และคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชูผลิตภัณฑ์ Specialty หนุน EBUTDA สร้างการเติบโตยั่งยืน โดยมีแนวคิดที่จะดึง Allnex ซึ่งเป็นบริษัทที่จีซีเข้าไปลงทุนถือหุ้น 100% เข้ามาสร้างฐานการผลิตที่มาบตาพุด โดยจะทำให้เกิดการเชื่อมและถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันกับบริษัท ในมาบตาพุด 40แห่งและบริษัทที่ออกไปลงทุนต่างประเทศประมาณ 40 แห่งเพื่อสร้างการเติบต่อและเชื่อมโยงกันทางธุรกิจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากที่สุด

 
"ก้าวต่อไปในการสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนของ GC เราพร้อมสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus ประกอบด้วย Step Change - Step Out - Step Up เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยเรานำความพร้อมด้านนวัตกรรม ศักยภาพการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพที่เรามีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มาต่อยอดและตอบสนองแนวโน้มความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ตามเทรนด์โลก" นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าว

การเดินหน้ากลยุทธ์ 3 Steps Plus จะช่วยรักษาฐานให้แข็งแรง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้าง Synergy ปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งสู่กลุ่มธุรกิจ High Value & Low Carbon Business รุกธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วย allnex และ NatureWorks อีกทั้งสร้างโอกาสการเติบโตของมาบตาพุด และพัฒนา Strategic Partnership เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมทำงานร่วมกับกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

บริษัทจะผลักดันมาบตาพุดสู่การเป็น Hub ผ่านการลงทุนของบริษัทย่อย Allnex อีกทั้งยังร่วมกับ NatureWorks ผู้ผลิตไบโอพลาสติกประเภทโพลิแลกติกแอซิด (PLA) ระดับโลกสร้างโรงงานผลิต PLA ครบวงจรแห่งใหม่ ที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ เป็นเรือธงขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต สนับสนุนกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในส่วนของ Non Commodity หรือ Specialty ให้เพิ่มเป็น 30% ในปี 73 ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันว 20%

นายณะรงศักดิ์ กล่าวว่า กลยุทธ์ Step Out หรือการสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ โดยกลุ่มธุรกิจ High Value & Low Carbon Business จะมุ่งเน้นการขยายตลาดและสร้างสรรค์เคมีภัณฑ์ผ่าน allnex ที่มีโรงงานและฐานธุรกิจสารเคลือบผิว (Coating Resins) อยู่ 34 แห่งทั่วโลก

สำหรับการพัฒนาฐานการผลิต (Hub) ของ allnex ในทวีปต่างๆ นั้น allnex ประสบความสำเร็จในการพัฒนา China Hub จึงได้นำมาต่อยอดขยายฐานผลิตในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตได้แก่ โรงงาน Mahad รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และแห่งใหม่ในอนาคต โรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย เพื่อเป็น Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในตลาดเคลือบผิวในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ บรรจุภัณฑ์ โลหะอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งเคลือบผิวอาคารแบบพิเศษ (Special Decoration)

สำหรับแผนการตั้งโรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนว่าจะมีการผลิตผลิตภัณฑ์แบบไหนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะเป็นการต่อยอดธุรกิจผ่าน allnex ตามแนวทางกลยุทธ์การปรับพอร์ตธุรกิจของ GC ให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ High Value ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 68

อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวมองเป็นการยกระดับสร้างโอกาสการลงทุนในมาบตาพุด รองรับการขยายตัวการลงทุนและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และคาดว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรายได้ประชาชาติ (GDP) เติบโต ที่ 4.6% GC จึงวางแผนสรรหา และพัฒนา Strategic Partnership ดึงดูดการลงทุนธุรกิจ High Value/ Specialty Chemicals สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มจะสร้างฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและทำเลที่ตั้งอันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลก วันนี้เราจึงได้เห็นแนวโน้มความสนใจการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ อัตราการใช้เคมีภัณฑ์ต่อประชากรยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ซึ่ง GC มีศักยภาพและความพร้อมตอบสนองความต้องการและสามารถร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมได้หลากหลาย จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ GC " ซีอีโอPTTGCกล่าว

ด้านความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิต PLA ครบวงจรแห่งใหม่ (PTTGC ถือหุ้น 50% ร่วมกับ Cargill) คาดแล้วเสร็จในปลายปี 68 และบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นเข้ามาได้ในปี 69 เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็น Bio Complex แห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้น้ำตาลจากอ้อยเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อผลิต Lactic Acid ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต PLA มีกำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้าน Bio และ Green ของประเทศ

กลยุทธ์ Step Up หรือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ GC สานต่อแนวทางการบูรณาการหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้กรอบของ ESG ( Environmental - Social - Governance สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) พร้อมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Target) ภายในปี 93 แนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ทั้งในการศึกษาเรื่อง Carbon Capture Technology ผ่านการลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) และการศึกษาโอกาสในการนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ (Blue/Green Hydrogen) ไปใช้และพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

กลยุทธ์ Step Change จะเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยง Value Chain ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมถึงสามารถรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูงที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี นับเป็นการบริหารการลงทุนอย่างครบวงจรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายทศพร บุณยพิพัฒน์ president บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจุดเริ่มต้นของการลงทุน ปิโตรเคมีในมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ คือการดึงศักยภาพของการผลิตปิโตรเคมีภายในประเทศช่วยให้ไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้า สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือการสร้างความแข็งแรงในเรื่องของการ operation การ Safety และ reliability การบริหารจัดการวันนี้เราจะต้องขยายไปในต่างประเทศซึ่งเราพร้อมจะเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเรามาปรับช่วยพันธมิตรทั้งออร์เน็ตและ Nature work ทั้งยังจะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของงบประมาณ ลงทุน OPEX ดูแลลดต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและมุ่งสู่ Net Zero

ปัจจุบัน gc มีโรงงาน 40 โรงงานและมีโรงงานในกลุ่มของ All NEX อีก 30 กว่าโรงงาน เราจึงพร้อมที่จะนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญชาญของเรามาใช้ มีกำลังการผลิตโอลีฟิลล์ 3 ล้านตันเม็ดพลาสติก 2 ล้านตัน ต้องมี การรักษาการใช้วัตถุดิบให้มีความยืดหยุ่นและปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความแข็งแรงของฐานการผลิต"

  เดินหน้าลดภาระดอกเบี้ยพันล้าน-ไตรมาส2กำไรพิเศษซื้อคืนหุ้นกู้2.8พันล้าน 

           รายได้ปีนี้น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 6.3 แสนล้านบาท ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง โดยปีนี้คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้น เห็นได้จากปริมาณการขายของ Allnex ในไตรมาสแรกที่เติบโตแล้ว 10%

ส่วนไตรมาส 2/67 คาดว่าภาพรวมธุรกิจของ Allnex ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ธุรกิจโอเลฟินส์ยังมีความท้าทาย

ในปีนี้บริษัทยังมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะกำลังการผลิตล้นตลาด จากผู้ผลิตในต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำ, เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวช้าจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และราคาพลังงานสูง, ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยส่งผลต่อการเติบโตของดีมานด์, การแข่งขันจากผู้เล่นที่ได้เปรียบทางวัตถุดิบ, ความซับซ้อนทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อ Supply Chain และการลงทุน  คุณ ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและพบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC กล่าว

คาดว่า  บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งบริษัทฯ ลดภาระดอกเบี้ยให้ได้ 1,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ ผ่านการทยอยซื้อหุ้นกู้คืน (Bond Buy Back) ขณะที่บริษัทเตรียมบันทึกกำไรพิเศษจากการขายคืนหุ้นกู้มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส2ปีนี้ประมาณ 2.8พันล้านบาท

         "ผลดำเนินงานจะฟื้นตัวต่อเนื่องและหากดูในงวดไตรมาสแรกปี67นั้นกำไรปกติจากการดำเนินงานถือว่าดีขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาและหากเทียบกับบริษัทประเภทเดียวกันทั้งในสหรัฐ ยุโรปและเอเชียจะเห็นว่า ผลดำเนินงาน ยังคงแย่ลง ดังนั้นจึงมั่นใจว่าหลังจากนี้เริ่มดีขึ้นและบริษัทยังคงมั่งมั่นที่จะดำเนินการบริหารจัดการการเงินภายใน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและมูลค่าและสำรองเป็นกระแสเงินสดไว้กับกิจการต่อไป "