คลัง เตรียมเคาะมาตราการปรับโครงสร้างหนี้ที่อยู่อาศัย และแก้หนี้รถกระบะ หวังปูพื้นดันจีดีพี ปีหน้าโต 3%
Categories : Update News, Finance
Public : 30/10/2024สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดงานประกาศรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรภาคเอกชน (สุดยอดซีอีโอ) ประจำปี 2567 โดยได้รับเกียรติจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบรางวัล ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ
นอกจากนี้ยังมีการเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจไทย โอกาส และความท้าทายในปี 2568” โดย 3 กูรูเศรษฐกิจ ได้แก่ นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย , นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ปิดท้ายด้วยการกล่าวปาฐกถาพิเศษของ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในหัวข้อ “Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the Future” โดยกล่าวว่า ในปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.7% - 2.8 % และหากในปี 2568 ตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 3% จะต้องเดินหน้าใน 3 เรื่อง คือ การแก้หนี้ครัวเรือน การช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการดูแลเรื่องหนี้สาธารณะ เพื่อให้รัฐบาล มีช่องว่างในการนำเงินงบประมาณมาแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้

ที่ผ่านมา ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เรื่องโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคครัวเรือนด้านที่อยู่อาศัย และการแก้หนี้รถกระบะ โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ประชาชนอยู่ได้ ขณะที่สถาบันการเงินก็จะมีโอกาสปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าไปในระบบมากขึ้น
ฃด้านปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย เคยอยู่ที่ประมาณ 70-80% ต่อจีดีพี ขณะที่ปัจจุบันขึ้นมา 90% กว่าต่อจีดีพี และปรับลดลงมาเหลือ 89% โดยตัวเลขที่ลดลงไม่ได้เป็นผลจากหนี้ครัวเรือนปรับตัวดีขึ้นหรือลดลง แต่เพราะจีดีพีขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อทั้งประชาชนและภาคเอสเอ็มอี สะท้อนว่า คนที่เป็นกำลังของประเทศหนี้ท่วม
ขณะที่หนี้ของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ที่ 65-66% โดยรัฐบาลพยายามรักษาวินัยการเงินการคลังเพื่อไม่ให้หนี้สูงและมีกรอบไว้ที่ 70% ต่อจีดีพี ซึ่งไม่ควรจะมีหนี้เกิน 14 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 12 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงเหลือช่องแค่ 1 ล้านล้านบาทเศษเท่านั้น
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยค่าเงินเฟ้อของไทยอย่างต่ำควรอยู่ที่ 2% ทั้งนี้เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำมาอย่างยาวนาน ก่อนจะมองโอกาสและความท้าทาย ต้องมองดูรอบๆ ว่าวันนี้เราอยู่ในสภาพอะไร และต้องแก้สภาพที่มีปัญหาอยู่ มองเงื่อนไขที่จะเดินไปข้างหน้า มีความพร้อมไหมที่จะเดินไป ถึงจะเรียกว่ามีความท้าทาย และโอกาสจะจับต้องได้หรือไม่