ทริสเรทติ้งคาดจีดีพีไทยปี68โต2.8%-ทรัมป์ขึ้นภาษีทำเศรษฐกิจ-ตลาดเงินโลกป่วน!! ไทยส่งออกกระทบ!

Categories : Update News, Stock Market, Finance

Public : 25/02/2025

ทริสเรทติ้งคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยจะอยู่ที่ระดับ 2.8% ในปี 2568

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ของไทยจะอยู่ที่ระดับ 2.8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักคืออุปสงค์ภายในประเทศ

ในขณะที่ความไม่แน่นอนจากต่างประเทศยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะออกมาในปีนี้น่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนต่อไป

ปัจจัยขับเคลื่อนอุปสงค์ภายในประเทศด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนั้นจะมีบทบาทสนับสนุนการเติบโตของ GDP มากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติแล้ว

ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมูลค่าการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่สูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 38.2 ล้านคนหรือคิดเป็น 96% ของตัวเลขก่อนสถานการณ์โควิด 19

ปัจจัยเสี่ยง ทรัมป์ ขึ้นภาษีกระทบส่งออก 

 

ในปี 2568 ความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะมาจากต่างประเทศเป็นหลัก ในขณะที่การผ่อนคลายนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักน่าจะช่วยสนับสนุนอุปสงค์จากต่างประเทศ แต่แนวโน้มมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประเทศสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทย โดยระดับของผลกระทบจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการดำเนินมาตรการ ตลอดจนระดับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ แนวโน้มแรงกดดันเงินเฟ้อจากมาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังอาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศดังกล่าวล่าช้าออกไปอีกและจะส่งผลให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัวกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายของห่วงโซ่อุปทานเพื่อปรับตัวรับมือกับอุปสรรคทางการค้าที่จะเกิดขึ้น

ทริสเรทติ้งมองว่าภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินโลกกำลังประสบกับช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนที่มีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ นอกจากมาตรการภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมีความไม่แน่นอนของประเทศเศรษฐกิจหลักก็อาจนำไปสู่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนของประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน