เปิดไส้ในบจ.ไหน หุ้นกลุ่มไหนได้รับผลกระทบ “ทรัมป์”ขึ้นภาษีศุลกากร37%-ดัชนีหุ้นไทยจ่อทำนิวโลว์ใหม่ทุกวัน
Categories : Update News, Stock Market
Public : 04/04/2025หุ้นไทยจ่อทำนิวโลว์!.ใหม่ได้ทุกวัน ครึ่งเช้าวันนี้หลุด 1,150 จุดเรียบร้อย!! ส่งออกกระอัก เจอพิษภาษีทรัมป์ สำรวจ บจ.ในตลาดหุ้น ใครกระทบบ้าง!!!!
SET เช้านี้ร่วง 20 จุด หลุด 1,150 จุดเรียบร้อย ทำนิวโลว์ใหม่ของปี หลังตลาดยังกังวลภาษีทรัมป์ 37% แถมเจอแรงขายกลุ่มน้ำมันกดดันซ้ำ หลัง OPEC+ ตกลงเพิ่มกำลังการผลิต โบรกฯ จับตาผลเจรจาไทย - สหรัฐฯ จะปรับสมดุลการค้าได้แค่ไหน

ดัชนี ปรับตัวลดลง 20.31 จุด หรือ 1.75% มาอยู่ที่ระดับ 1,141.50 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี โดย 5 หุ้นที่กดดันดัชนีได้แก่ DELTA - PTTEP - GULF - PTT - AOT
บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า คาด SET วันนี้หลุดแนวรับ 1,155-1,157 จุด โดยยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบจากความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสชะลอหรือถดถอยจากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่มีอัตราสูงกว่าคาด ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนักและไหลเข้าหาพันธบัตรอย่างชัดเจน สะท้อนผ่าน Bond Yield 2 และ 10 ปีของสหรัฐฯปรับลงแรงแตะ 3.68% และ 4.04% ต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ประเมินผลกระทบแต่ละอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด จากนโยบาย TAX TARIFF ดังนี้
กลุ่มเกษตรอาหารs !
คาดได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยประเมินกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง(แมว/สุนัข) และทูน่ากระป๋อง มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มสัตว์บก (สุกร/ไก่) หากพิจารณรายบริษัทคาด ITC กระทบมากสุดเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐสูงราว 50% ของรายได้ปี 2567 และปัจจุบันภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ 0%
ขณะที่ TU มีสัดส่วนรายได้จาก US ราว 39% ในนี้มาจากฐานการผลิตในสหรัฐ มากกว่า 25% และที่เหลือนำเข้าไทยราว 10% สินค้าส่วนใหญ่เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ตามด้วยทูน่ากระป๋อง ซึ่งมีการเก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ 12%
ส่วน CPF และ GPFT ที่มีธุรกิจสัตว์บก เช่น ไก่/สุกร คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากไม่มีการส่งออกโดยตรงไปสหรัฐ แต่ในทางกลับกัน มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการมีเจรจาเปิดตลาดนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลือง ย่อมส่งผลดีต่อต้นทุนอาหารสัตว์สำหรับกลุ่มสัตว์บก
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
คาดมีผลกระทบต่อ DELTA และ KCE ที่มีสัดส่วนยอดขายไปสหรัฐประมาณ 26% และ 20% ของยอดขายในปี 2567 ตามลำดับ ซึ่งต้องติดตามแนวทางการรับมือของทั้ง 2 บริษัทต่อภาษีตอบโต้นี้ โดยเรามองว่ามีโอกาสที่ DELTA ที่ปัจจุบันมีโรงงานในสหรัฐที่ดีทรอยด์ (ใช้ผลิตชิ้นส่วนฯสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า) อาจปรับการผลิตบางส่วนเพื่อมาผลิตสินค้าอื่นๆด้วยเพื่อลดค่าใช้จ่ายทางภาษีดังกล่าว ส่วน CCET น่าจะได้รับผลกระทบน้อยสุด เพราะยอดขายส่วนใหญ่เป็นการขายในประเทศเกือบ 70% ขณะที่มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐเพียง 1% ของยอดขาย อย่างไรก็ตามภาษีตอบโต้ที่อัตรา 36% ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของทั้ง 3 บริษัท ที่จะส่งออกไปสหรัฐต่ำไปกว่าคู่แข่งที่ สำคัญอย่างจีน และเวียดนาม ที่จะถูกคิดภาษีในอัตราที่สูงกว่าไทย
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง
คาดส่งผลกระทบจำกัด เนื่องจากสินค้าวัสดุก่อสร้างเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก การส่งออกไปสหรัฐจึงมีเฉพาะสินค้าที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจงจากลูกค้าเท่านั้น ได้แก่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และสินค้ารักษ์โลก โดย SCC มีสัดส่วนขายสินค้าไปสหรัฐประมาณ 1% ของยอดขายทั้งหมด เช่น ปูน LOW CARBON CEMENT
กลุ่ม PACKAGING
ส่งผลกระทบทางตรงต่อ SCGP ไม่มาก โดยSCGP มีสัดส่วนรายได้ไปสหรัฐ คิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด สินค้าส่งออกหลักคือ POLYMER PACKAGING และบรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งปัจจุบันมีภาษีนำเข้า 15-20% หากการขึ้นภาษีทำให้การนำเข้าของสหรัฐลดลง SCGP ก็สามารถ ALLOCATE สินค้าไปขายที่ตลาดอื่นๆ ได้ เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ของ SCGP เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มอาเซียนที่ยังมี DOMESTIC CONSUMPTION เติบโตดี
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
คาดผลกระทบโดยตรงจากการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปิโตรเคมีส่งออกไปสหรัฐฯไม่มีนัยฯ โดยตลาดปิโตรเลียมปิโตรเคมีของไทยอยู่ที่ภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก แต่ทั้งนี้คาดจะได้รับผลกระทบทางอ้อมแทน เนื่องจากหากหลายๆประเทศผุ้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีที่ส่งออกไปสหรัฐฯแล้วโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น อาจทำให้ต้องหาตลาดใหม่ในการส่งออกแทนสหรัฐฯ จึงมีโอกาสที่ SUPPLY จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียซึ่งประเทศไทยใช้อ้างอิงอยู่ปรับตัวลดลงได้ ประกอบกับการเกิด TRADE WAR ในครั้งนี้ในมุมมองภาพเศรษฐกิจโดยรวมของโลกอาจทำให้อยู่ในภาวะชะลอตัวได้ ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้สินค้า COMMODITY ที่แปรผันตาม GDP
กลุ่มโรงไฟฟ้า
หุ้นโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากไม่มีสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามคาดได้รับผลกระทบทางอ้อม 2 กรณี ดังนี้
1. กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม เช่น BGRIM, GCPS, GULF เป็นต้น คาดจะได้รับผลเชิงลบจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวลดลง
2. ผู้ประกอบการที่มีโครงการโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ เช่น BPP, BCPG, EGCO, BGRIM, GULF เป็นต้น อาจได้รับ SENTIMENT เชิงบวกในระยะยาว จากคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น ตามการผลิตของภาคอุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น และเพื่อทดแทนการนำเข้าไฟฟ้าจากแคนาดา ที่อาจถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯที่สูง