ไทยยูเนี่ยน โชว์ไตรมาสแรกปี 68  ยอดขาย  2.98 หมื่นล้านบาท กำไร 1,019 ล้านบาท

Categories : Update News, Stock Market

Public : 09/05/2025

“ไทยยูเนี่ยน” ยอดขาย Q1 ปี 68 กว่า 2.98 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,019 ล้านบาท อาหารสัตว์เลี้ยงทำผลงานโดดเด่น ขณะอาหารทะเลแปรรูป-อาหารทะแลแช่แข็งยอดหด โชว์แผนรับมือภาษีทรัมป์ ตุนสต๊อกสินค้าขายในสหรัฐ 4-6 เดือน

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทำทรานฟอร์เมชั่นตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 (Strategy 2030) อยู่ที่ 1,317 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8.9% ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,019 ล้านบาท

ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคือ 1.0 เท่า ทำให้ไทยยูเนี่ยนมีความคล่องตัวและสามารถสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตได้ ทั้งนี้ Strategy 2030 นับเป็นโรดแม็ปใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญของไทยยูเนี่ยน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล

สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสแรกของปี พบว่า กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังเติบโตต่อเนื่อง มียอดขายรวม 4,174 ล้านบาท ขยายตัว 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24.5%

 

ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 14,762 ล้านบาท ปรับตัวลดลงราว 14.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากปริมาณความต้องการสินค้าในตะวันออกกลางในปีก่อนที่สูงมากกว่าปกติ และการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิตในยุโรป จากการที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชะลอการสั่งซื้อสินค้า เนื่องด้วยราคาปลาที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปในไตรมาสนี้ทำได้ดีถึง 19.4%

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 8,441 ล้านบาท ลดลง 12.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากราคากุ้งในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ยอดขายกุ้งชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นจาก 11.8% เมื่อปีก่อน มาอยู่ที่ 12.4% ในไตรมาสแรกปีนี้ และสุดท้ายคือกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ทำยอดขายได้ 2,412 ล้านบาท ลดลงราว 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน

   

สำหรับจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาดำเนินการตามอัตราภาษีที่ประกาศจริง บริษัทฯ มีการคาดการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภาษีไว้แล้วและได้เตรียมพร้อมโดยการสำรองสินค้าทุกประเภทในสหรัฐอเมริกาไว้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้เพื่อให้มีสินค้าในตลาดเพียงพอสำหรับการขายราว 4-6 เดือน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงใช้ประโยชน์จากการมีฐานการผลิตและแหล่งวัตถุดิบทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการขึ้นภาษีให้เหลือน้อยที่สุด โดยไทยยูเนี่ยนมีฐานการผลิต 15 แห่ง ใน 13 ประเทศ เช่น กานา เซเชลส์ โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เป็นต้น ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางภาษี

นอกจากนี้ ในไตรมาสแรกของปีไทยยูเนี่ยนยังได้รับการประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Japan Credit Rating หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตและมีธุรกิจหลากหลายอยู่ทั่วโลก

ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศนี้อยู่ในอันดับเดียวกันกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับจาก JCR พร้อมกันนี้ JCR ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินในประเทศของบริษัทไว้ที่ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกัน ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้ด้านความยั่งยืนทางทะเล หรือ Blue Loan วงเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,000 ล้านบาท จากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB โดยเป็นการปล่อยวงเงินกู้ Blue Loan จาก ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำที่เป็นพันธมิตรทางการเงินให้กับบริษัทอาหารทะเลในประเทศไทยเป็นครั้งแรก วงเงินกู้ดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการยกระดับการจัดซื้อวัตถุดิบกุ้งที่เพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน