SENA ย้ำผู้นำบ้านโซลาร์ รับยุคค่าไฟแพง ลุยศึกษาเทคโนโลยีรับเทรนด์พลังงานสะอาด

Categories : Update News, ESG News

Public : 09/09/2022
 

SENA เดินหน้าพัฒนาบ้านโซลาร์เต็มสูบรับทิศทางค่าไฟฟ้าแพง หลังตอบโจทย์ประหยัดรายจ่ายให้ผู้บริโภค แถมใส่ใจสิ่งแวดล้อม จับมือพันธมิตรลุยศึกษาและแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่และเมกะเทรนด์ลดโลกร้อน ดันลูกบ้านยื่นสิทธิ์ขายไฟส่วนเกินเข้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนร่วมสนองนโยบายรัฐ ผนึกหัวเว่ยดึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในโครงการเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืน

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ในฐานะ Developer รายแรกที่ทำหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดและธุรกิจต่อเนื่องโดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์รูฟท็อป) เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคค่าไฟฟ้าแพงและเทรนด์พลังงานสะอาดเพื่อลดภาวะโลกร้อนผ่านบริษัเสนาโซลาร์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด บริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจติดตั้งโซลาร์ฯ ให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายแบบครบวงจร โดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสทางเทคโนโลยี การลงทุนใหม่เพื่อรองรับรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ในอนาคต

“ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดก.ย.-ธ.ค. 65 ที่ปรับขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟรวมเฉลี่ยที่ประชาชนต้องจ่ายอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วยถือว่าเป็นอัตราสูงสุดย่อมทำให้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตอบโจทย์การประหยัดพลังงานให้กับประชาชนและผู้ประกอบการได้ ซึ่งที่ผ่านมาเสนาให้ความสำคัญและพิสูจน์แล้วว่าประหยัดได้จริง และดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งอนาคตพลังงานกำลังจะเปลี่ยนผ่านทั่วโลกมุ่งลดการใช้ฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะภาคขนส่งที่จะมุ่งไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) การผลิตไฟฟ้าที่มุ่งไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็มีแผนส่งเสริมที่ชัดเจน ดังนั้นแนวทางดำเนินงานของเสนาจึงสอดรับกับนโยบายรัฐและทิศาทางของโลก” ผศ.ดรเกษรา กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานเพื่อตอบโจทย์ไลฟสไตล์ของลูกบ้าน เช่น การติดตั้ง Solar Scale-Up ช่วยให้ลูกบ้านสามารถปรับ-เพิ่มจำนวน แผง Solar ได้ตามลักษณะการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อีกทั้งยังสามารถเลือกช่วงเวลาของการใช้ไฟฟ้าได้ตามพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประหยัดค่าไฟ ฯลฯขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ เพื่อนำไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมาใช้ในส่วนกลาง สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของลูกบ้าน โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นคอมมูนิตี้สังคมสีเขียว

ขณะเดียวกันยังร่วมกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมของหัวเว่ย ที่จะมาช่วยพัฒนาโครงการต่างๆ ของเสนาในการประยุกต์ใช้พลังงานสะอาด อาทิ SMART PV INVERTER ซึ่งเป็นอุปกรณ์แปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับมีโซลูชันอินเวอร์เตอร์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ในช่วงเวลากลางวัน และ PID Recovery เป็นตัวช่วยฟื้นฟูเพิ่มประสิทธิภาพ และลดการเสื่อมสภาพของแผงโซลาร์เซลล์ รวมทั้งนำฟังก์ชัน AFCI ป้องกันการเกิดไฟไหม้ ด้วยการตัดวงจรแบบอัตโนมัติมาใช้ในโครงการ

“โซลาร์ภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย พ.ศ. 2565 เสนาจะผลักดันให้ลูกบ้านเสนอขายไฟส่วนที่เหลือให้กับรัฐเพิ่มเติม ซึ่งรัฐได้มีการปรับราคารับซื้อจาก 1.68 บาทต่อหน่วย เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย ทำให้มีความคุ้มค่ามากขึ้นโดยเสนาได้เสนอขายไฟส่วนเกินให้กับลูกบ้านผ่านโค รงการนี้ ตั้งแต่ปี 2564 ถึงขณะนี้ยื่นแล้ว 295 ราย คิดเป็น 891.67 กิโลวัตต์ และยังจะยื่นเพิ่มเติมอีกในปีนี้ พร้อมยังอยู่ระหว่างการทดลองโครงการ ERC Sandbox กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อพัฒนานวัตกรรมในธุรกิจพลังงานสะอาดร่วมกัน เพื่อให้การบริหารจัดการรับซื้อไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว

ทั้งนี้ เสนาได้ติดตั้งโซลาร์รูปท็อปบนหลังคาให้กับลูกบ้านทุกโครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว และในพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม มาตั้งแต่ปี 2558 ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีในการออกแบบโดยวัสดุที่มีคุณภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีบ้านที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแล้ว จำนวน 47 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 22 โครงการ และโครงการแนวราบ 25 โครงการ หรือรวมกว่า 700 หลังคาเรือน คิดเป็นการผลิตไฟฟ้ากว่า 2,000 กิโลวัตต์

สำหรับผลดำเนินการของธุรกิจโซลาร์ ในช่วง 6 ที่ผ่านมาของปีนี้ มีรายได้รวม 212.47 ล้านบาท แบ่งเป็นโซลาร์ฟาร์ม 198.59 ล้านบาท คิดเป็น 93.5% Solar EPC 9.04 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% Solar Warehouse 3.28 ล้านบาท คิดเป็น 1.5% Solar Cell Rental 1.56 ล้านบาท คิดเป็น 0.7% โดยธุรกิจโซลาร์สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ถึง 56% ขณะที่ยอดขายของเสนาในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 5,481 ล้านบาท มีรายได้รวม 2,568 ล้านบาท