สภาพัฒน์ แนะรัฐบาลใหม่กำหนดนโยบายคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ยังคงคงคาดการณ์ GDP ปี 66 โต 2.7-3.7% ท่องเที่ยวยังเป็นแรงหนุน แม้ส่งออกหดตัว
Categories :
Public : 05/15/2023นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แนะถึงการทำนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาว่า ประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจจากผลพวงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้มีการใช้มาตรการทั้งด้านการเงินและมาตรการด้านการคลังอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าว และพยุงเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้
ดังนั้น การใช้งบประมาณในการทำนโยบายต่างๆ ระยะต่อไปของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานี้ ควรต้องคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด เพราะจะมีผลต่อการที่ต่างประเทศจะประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง ที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงนั้น นายดนุชา กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาทำนโยบายในส่วนนี้ ควรต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะหากเป็นการไปเพิ่มภาระต้นทุนให้กับภาคธุรกิจแล้ว ย่อมหนีไม่พ้นที่ภาคธุรกิจจะต้องส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นดังกล่าวมายังผู้บริโภค ด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อของประเทศ นอกจากนี้ อาจมีผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติด้วย
“ดังนั้นการทำนโยบายใดๆ ที่จะไปเพิ่มต้นทุนของภาคธุรกิจ รัฐบาลจะต้องพิจารณาผลดี และผลเสียว่าเป็นอย่างไร เพราะอาจทำให้ FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) กลับทิศได้ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ การที่ต้นทุนเพิ่ม ก็จะส่งผ่านไปถึงผู้บริโภค และไปถึงเงินเฟ้อในที่สุด เพราะฉะนั้น การทำนโยบายจะต้องรอบคอบและคิดให้รอบด้าน เพราะมันไม่ใช่กระทบแค่ภาคธุรกิจเท่านั้น แต่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจด้วย” เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุ
นายดนุชา ยังกล่าวถึงเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรต้องดำเนินการก่อนเป็นลำดับแรกๆ เมื่อเข้ามาบริหารประเทศ คือ อันดับแรก จะต้องเร่งผลักดันด้านการส่งออกของไทยไปยังตลาดโลก ทั้งในส่วนของสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม รองลงมา คือ การดูแลปากท้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาราคาพลังงานสูงทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซ ซึ่งต้องดูว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจะมีมาตรการดูแลราคาพลังงานได้ตามที่ประกาศไว้เป็นโยบายในช่วงหาเสียงหรือไม่
เลขาธิการสภาพัฒน์ คาดว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในกรณี worst case จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งหางบประมาณมาอัดฉีด โดยเฉพาะการลงทุน เช่น งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณ จะต้องมีการเร่งในช่วงเดือน ก.ย.66 นี้ ให้สามารถใช้ได้ในช่วงปลายปี ประมาณ 2 แสนล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน ก็คาดว่าจะมีงบลงทุนอีก 2 แสนล้านบาท ที่จะใช้ได้ในช่วงไตรมาส 1/2567
ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 มีการจัดทำไว้หมดแล้ว ถ้ารัฐบาลใหม่จะดำเนินการ ก็ทำได้ 2 แนวทาง คือ 1. การปรับเล็ก คือ ปรับรายละเอียดไส้ในของงบประมาณ และ 2.ทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็ต้องมาดูประมาณการรายได้ การขยายตัวเศรษฐกิจ ประมาณการรายจ่าย แต่ก็คาดว่าจะไม่แตกต่างจากที่เคยทำไว้เดิม
“การทำงบประมาณ มีข้อจำกัดหลายเรื่อง แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะเลือกทางไหน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งหมด เพื่อให้สอดรับกับนโยบายที่ได้ประกาศไว้ อย่างไรก็ดี ต้องพิจารณาวินัยการเงินการคลังของประเทศควบคู่ไปด้วย” นายดนุชา ระบุ
สำหรับเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 66 ขยายตัวร้อยละ 2.7 ลดจากเดิมไตรมาสแรกปีก่อนขยายตัวร้อยละ 4 การส่งออกชะลอตัวร้อยละ -4.6 ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ -3.1 ยังมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.4 การลงทุนขยายตัวร้อยละ 3.1 ภาคเกษตรยังขยายตัวร้อยละ 7.2 สาขาการเข้าพักแรมและบริการอาหาร เติบโตร้อยละ 34.4 ส่วนการอุปโภคภาครัฐหดตัวร้อยละ -6.2 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อไตรมาสแรกร้อยละ 3.9 ยังมีสนับสนุนจาการขยายตัวของการบริโภค สภาพัฒน์ จึงปรับจีดีพีค่ากลางจากร้อยละ 2.6 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.7 ภายใต้กรอบขยายตัวร้อยละ 2.7 -3.7 คาดการณ์นักท่องเที่ยว 28 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.27 ล้านล้านบาท